ถ้าพูดถึง M16 ทุกคนคงจะรู้จักกันดีเพราะเป็นปืนยอดฮิตที่เกือบทั่วโลกใช้(โลกเสรี) วันนี้ผมเลยนำข้อมูลมาให้ได้อ่านกันเัผื่อบางคนยังไม่รู้ประวัติของมัน ซึ่งคนทำก็เพิ่งจะรู้มาเหมือนกัน
จากบนล่าง ปืน M16A1 , M16A2 , M4A1 และปืน M16A4
ชนิด ปืนเล็กยาวจู่โจม (Assault Rifle)
สัญชาติ สหรัฐอเมริกา
สมัย สงครามเวียดนาม - ปัจจุบัน
การใช้งาน อาวุธประจำกาย
เป้าหมาย บุคคล
เริ่มใช้ พ.ศ. 2500 (ค.ศ. 1967)
ช่วงผลิต พ.ศ. 2500 - ปัจจุบัน
สงคราม สงครามเวียดนาม, สงครามอ่าวเปอร์เซีย, สงครามอิรัก
ขนาดลำกล้อง 5.56 มิลลิเมตร (0.223 นิ้ว) 6 เกลียว เวียนขวา
ระยะครบรอบเกลียว A1 = 12 ฟุต ,A2/A3/A4 = 7 ฟุต
ความยาวลำกล้อง 508 มิลลิเมตร
ซองกระสุน ซองกระสุนแบบ STANAG ความจุ 20, 30 นัด และแบบ Drum ความจุ 100 นัด
ระบบปฏิบัติการ ขับดันด้วยก๊าซ (Gas-operated) ขัดกลอนด้วยตัว(RotatingBolt) ปลดกลอนด้วยแรงดันก๊าซเป่าห้องลูกเลื่อนโดยตรง (Direct Impingement)
อัตราการยิง 600 - 900 นัด/นาที (แล้วแต่รุ่น)
ความเร็วปากลำกล้อง 975 m/s (3,200 ft/s Ball M193)
930 m/s (3,050 ft/s Ball M855)
ระยะหวังผล A1 = 460 เมตร
A2,A3,A4 = 550 เมตร
น้ำหนัก แล้วแต่แบบ
ความยาว A1=990.6 มม.
A2=1006 มม.
แบบอื่น เอ็ม 4 คาร์บิน,AR-15
ปืนเอ็ม 16 เป็นปืนเล็กยาวจู่โจมที่กองทัพบก สหรัฐอเมริกากำหนดขึ้น โดยเรียกชื่อไล่จาก Armalite
AR-15 เป็นปืนเล็กยาวจู่โจมที่ยิงด้วยกระสุนขนาด 5.56x45 mm. NATO ที่ออกแบบโดยนาย Eugene
Stoner ในปีค.ศ. 1950 เดิมใช้เป็นปืนเล็กยาวประจำกายของทหารในกองทัพบกและกองทัพอากาศสหรัฐ
อเมริกา ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1967 โดยเข้าประจำการแทนปืนเล็กยาว M14 ซึ่งใช้กระสุนขนาด 7.62x51 mm.
NATO และยังใช้กันแพร่หลายในกลุ่มประเทศสมาชิกองค์การ NATO และประเทศที่ได้รับความช่วยเหลือ
ทางทหารจากสหรัฐฯในช่วงสงครามเย็นมาจนถึงปัจจุบัน
ปืน M16 เป็นปืนที่มีน้ำหนักเบา บรรจุกระสุนในซองกระสุน (Magazine) บริหารกลไกด้วยด้วยระบบแรงดัน
ก๊าซ ระบายความร้อนด้วยอากาศ วัสดุที่ใช้ผลิตปืนผสมผสานทั้งเหล็กกล้า อะลูมิเนียม และพลาสติก
ชนิด ปืนเล็กยาวจู่โจม (Assault Rifle)
สัญชาติ สหรัฐอเมริกา
สมัย สงครามเวียดนาม - ปัจจุบัน
การใช้งาน อาวุธประจำกาย
เป้าหมาย บุคคล
เริ่มใช้ พ.ศ. 2500 (ค.ศ. 1967)
ช่วงผลิต พ.ศ. 2500 - ปัจจุบัน
สงคราม สงครามเวียดนาม, สงครามอ่าวเปอร์เซีย, สงครามอิรัก
ขนาดลำกล้อง 5.56 มิลลิเมตร (0.223 นิ้ว) 6 เกลียว เวียนขวา
ระยะครบรอบเกลียว A1 = 12 ฟุต ,A2/A3/A4 = 7 ฟุต
ความยาวลำกล้อง 508 มิลลิเมตร
ซองกระสุน ซองกระสุนแบบ STANAG ความจุ 20, 30 นัด และแบบ Drum ความจุ 100 นัด
ระบบปฏิบัติการ ขับดันด้วยก๊าซ (Gas-operated) ขัดกลอนด้วยตัว(RotatingBolt) ปลดกลอนด้วยแรงดันก๊าซเป่าห้องลูกเลื่อนโดยตรง (Direct Impingement)
อัตราการยิง 600 - 900 นัด/นาที (แล้วแต่รุ่น)
ความเร็วปากลำกล้อง 975 m/s (3,200 ft/s Ball M193)
930 m/s (3,050 ft/s Ball M855)
ระยะหวังผล A1 = 460 เมตร
A2,A3,A4 = 550 เมตร
น้ำหนัก แล้วแต่แบบ
ความยาว A1=990.6 มม.
A2=1006 มม.
แบบอื่น เอ็ม 4 คาร์บิน,AR-15
ปืนเอ็ม 16 เป็นปืนเล็กยาวจู่โจมที่กองทัพบก สหรัฐอเมริกากำหนดขึ้น โดยเรียกชื่อไล่จาก Armalite
AR-15 เป็นปืนเล็กยาวจู่โจมที่ยิงด้วยกระสุนขนาด 5.56x45 mm. NATO ที่ออกแบบโดยนาย Eugene
Stoner ในปีค.ศ. 1950 เดิมใช้เป็นปืนเล็กยาวประจำกายของทหารในกองทัพบกและกองทัพอากาศสหรัฐ
อเมริกา ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1967 โดยเข้าประจำการแทนปืนเล็กยาว M14 ซึ่งใช้กระสุนขนาด 7.62x51 mm.
NATO และยังใช้กันแพร่หลายในกลุ่มประเทศสมาชิกองค์การ NATO และประเทศที่ได้รับความช่วยเหลือ
ทางทหารจากสหรัฐฯในช่วงสงครามเย็นมาจนถึงปัจจุบัน
ปืน M16 เป็นปืนที่มีน้ำหนักเบา บรรจุกระสุนในซองกระสุน (Magazine) บริหารกลไกด้วยด้วยระบบแรงดัน
ก๊าซ ระบายความร้อนด้วยอากาศ วัสดุที่ใช้ผลิตปืนผสมผสานทั้งเหล็กกล้า อะลูมิเนียม และพลาสติก
ประวัติ
ปืน M16 ผลิตในปีค.ศ. 1963 สังเกตปลอกลดแสง (Flash Hider) ยังเป็นแบบ 3 แฉก (Three-prong Flash Hider) เหมือนของปืน AR-15 อยู่ และไม่มีคันส่งลูกเลื่อน (Forward Assist Assembly) ติดตั้งมาให้
ปืน M16A1 ผลิตในปีค.ศ. 1967 สังเกตปลอกลดแสง (Flash Hider) จะเป็นซี่คล้ายกรงนกมีรูลดแสง 4 รู("Bird Cage" Flash Hider) และมีคันส่งลูกเลื่อน (Forward Assist Assembly) ติดตั้งมาให้แล้ว
คันส่งลูกเลื่อน (Forward Assist Assembly) มีในปืน M16A1 เป็นต้นมา ใช้สำหรับผลักหน้าลูกเลื่อนให้เข้าที่ก่อนทำการยิง ในกรณีที่เกิดการติดขัดจากเขม่าที่เกิดจากการยิง
ปืน M16 นี้พัฒนาขึ้นโดยกองทัพบกสหรัฐฯ ในช่วงทศวรรษ 1950 ขณะที่ได้นำไปประเดิมใช้เป็นครั้งแรก
ในสงครามเวียดนาม ซึ่งแต่เดิมนั้น ปืน M16 ออกแบบและผลิตโดยบริษัทอาร์มาไลต์ (Armalite) ในปี
ค.ศ. 1958 โดยเรียกว่าปืนรุ่นนี้ว่า AR-15 สำหรับปืนไรเฟิลอัตโนมัติ AR-15 นี้เป็นปืนไรเฟิลซ้อมยิงที่นิยม
กันมากในประเทศสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับปืน M16 ในปัจจุบันนี้ และได้เข้า
ประจำการในฐานะอาวุธปืนประจำกายของหน่วยแพทย์ทหารเสนารักษ์และ หน่วยสนับสนุนการรบต่างๆใน
ช่วงสงครามเกาหลีด้วย แต่เนื่องจากตัวปืนนั้นมีปัญหาเรื่องลำกล้องปืนมักจะบวมและแตกร้าวเมื่อมี การยิง
ต่อเนื่องนานๆ จึงทำให้มียอดสั่งซื้อเข้ามาน้อยมาก
ต่อมาเมื่อบริษัท Armalite ได้ขายแบบแปลนปืน AR-15 ให้แก่บริษัทโคลต์ (Colt Firearms) ปืน AR-15
ก็ได้รับการพัฒนาจนออกมาเป็นปืน M16 และเข้าประจำการในกองทัพอากาศสหรัฐฯในปีค.ศ. 1964 ส่วน
ทางกองทัพบกสหรัฐฯก็ได้นำปืน M16 มาพัฒนาต่อเป็นปืน XM16E1 ซึ่งได้เพิ่มระบบคันส่งลูกเลื่อน
(Forward Assist Assembly) เข้ามาและเข้าประจำการในกองทัพบกสหรัฐฯพร้อมทั้งเรียกชื่อใหม่ว่า
""US Rifle, 5.56mm, M16A1" ในปีค.ศ. 1967 และยังมีการเปิดสายการผลิตปืน M16 ในรูปแบบอื่นๆ ที่
คล้ายคลึงกันในอีกหลายประเทศทั่วโลก
ต่อมาในปีค.ศ. 1981 บริษัทโคลต์จึงได้พัฒนาและปรับปรุงปืน M16A1 จนออกมาเป็นปืน M16A1E1 เพื่อ
รองรับกระสุนขนาด 5.56x45 mm. NATO รุ่นใหม่คือกระสุน M855 Ball หรือ SS-109 ของบริษัท FN ซึ่ง
มีความแม่นยำและอานุภาพมากกว่าเดิม จนในปีค.ศ. 1982 หน่วย US Department of Defense (US
DoD)จึงได้บรรจุปืน M16 รุ่นนี้เข้าประจำการและเรียกในชื่อใหม่ว่า "US Rifle, 5.56mm, M16A2" ซึ่ง
ปืน M16A2 นี้สามารถยิงได้เพียง 2 รูปแบบ คือ แบบกึ่งอัตโนมัติ (Semi-Auto) ครั้งละ 1 นัด/ครั้ง และ
แบบอัตโนมัติชุดละ 3 นัด (Burst Auto) โดยมีคันบังคับการยิงให้จัดเลือกอยู่ทางด้านซ้ายเหนือด้ามปืน
ซึ่งต่างจากปืน M16A1 ตรงที่แบบอัตโนมัติของรุ่น A1 จะเป็นแบบอัตโนมัติเต็มตัว (Full-Auto) กล่าวคือ
ปืนจะทำการยิงตามวงรอบการทำงานไปเรื่อยๆจนกว่าผู้ยิงจะเลิกเหนี่ยว ไกปืนหรือจนกว่ากระสุนจะหมด
ซองกระสุน มิใช่ยิงเป็นชุดเพียง 3 นัดเท่านั้น ไม่ว่าผู้ยิงจะเหนี่ยวไกค้างไว้หรือไม่ก็ตาม
ในปีค.ศ. 1994 ทางบริษัทโคลต์ได้มีการปรับปรุงสมรรถภาพของปืน M16A2 อีกครั้งเป็นรุ่น A3 และ A4
ตามลำดับ โดยปืน M16A3 นั้นสามารถยิงได้สองโหมดคือ ยิงทีละนัด (Semi-Auto)และยิงอัตโนมัติเต็ม
ตัว (Full-Auto)เท่านั้น ส่วนปืน M16A4 นั้นจะยิงได้สองโหมดนี้คือ โหมดยิงทีละนัด (Semi-Auto) และ
แบบอัตโนมัติชุดละ3นัด (Three-Burst Auto) โดยรุ่น A4 มีลักษณะภายนอกคล้ายกับ A2 และ A3 ทุก
ประการแต่สามารถถอดด้ามหูหิ้ว (Flat Top Receiver) ออกเพื่อติดตั้งอุปกรณ์เสริมต่างๆได้ในขณะที่ A2
และ A3 จะเป็นแบบติดตั้งตายตัว
ในช่วงทศวรรษ 1980 ปืน M16A1 ติดขาทรายและปืนกลเบา M60 จะถูกแทนที่ด้วยปืนกลเบา SAW
M249 ซึ่งใช้กระสุนขนาด 5.56x45 mm. NATO รุ่น M855 เช่นเดียวกับปืน M16A2 เพื่อเพิ่มอานุภาพ
ของอาวุธและลดภาระในการจัดส่งกระสุนและเสบียงเข้าสู่สนาม รบของหน่วยพลาธิการ ครั้นถึงทศวรรษ
1990 ปืน M16A2 จำนวนมากเริ่มถูกแทนที่ด้วยปืน M4 Carbine ซึ่งปรับปรุงมาจากปืน M16 เพื่อเพิ่ม
สมรรถนะและความคล่องตัวกับการรบในที่แคบหรือในอาคารต่างๆ
ปืน M16A1 ผลิตในปีค.ศ. 1967 สังเกตปลอกลดแสง (Flash Hider) จะเป็นซี่คล้ายกรงนกมีรูลดแสง 4 รู("Bird Cage" Flash Hider) และมีคันส่งลูกเลื่อน (Forward Assist Assembly) ติดตั้งมาให้แล้ว
คันส่งลูกเลื่อน (Forward Assist Assembly) มีในปืน M16A1 เป็นต้นมา ใช้สำหรับผลักหน้าลูกเลื่อนให้เข้าที่ก่อนทำการยิง ในกรณีที่เกิดการติดขัดจากเขม่าที่เกิดจากการยิง
ปืน M16 นี้พัฒนาขึ้นโดยกองทัพบกสหรัฐฯ ในช่วงทศวรรษ 1950 ขณะที่ได้นำไปประเดิมใช้เป็นครั้งแรก
ในสงครามเวียดนาม ซึ่งแต่เดิมนั้น ปืน M16 ออกแบบและผลิตโดยบริษัทอาร์มาไลต์ (Armalite) ในปี
ค.ศ. 1958 โดยเรียกว่าปืนรุ่นนี้ว่า AR-15 สำหรับปืนไรเฟิลอัตโนมัติ AR-15 นี้เป็นปืนไรเฟิลซ้อมยิงที่นิยม
กันมากในประเทศสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับปืน M16 ในปัจจุบันนี้ และได้เข้า
ประจำการในฐานะอาวุธปืนประจำกายของหน่วยแพทย์ทหารเสนารักษ์และ หน่วยสนับสนุนการรบต่างๆใน
ช่วงสงครามเกาหลีด้วย แต่เนื่องจากตัวปืนนั้นมีปัญหาเรื่องลำกล้องปืนมักจะบวมและแตกร้าวเมื่อมี การยิง
ต่อเนื่องนานๆ จึงทำให้มียอดสั่งซื้อเข้ามาน้อยมาก
ต่อมาเมื่อบริษัท Armalite ได้ขายแบบแปลนปืน AR-15 ให้แก่บริษัทโคลต์ (Colt Firearms) ปืน AR-15
ก็ได้รับการพัฒนาจนออกมาเป็นปืน M16 และเข้าประจำการในกองทัพอากาศสหรัฐฯในปีค.ศ. 1964 ส่วน
ทางกองทัพบกสหรัฐฯก็ได้นำปืน M16 มาพัฒนาต่อเป็นปืน XM16E1 ซึ่งได้เพิ่มระบบคันส่งลูกเลื่อน
(Forward Assist Assembly) เข้ามาและเข้าประจำการในกองทัพบกสหรัฐฯพร้อมทั้งเรียกชื่อใหม่ว่า
""US Rifle, 5.56mm, M16A1" ในปีค.ศ. 1967 และยังมีการเปิดสายการผลิตปืน M16 ในรูปแบบอื่นๆ ที่
คล้ายคลึงกันในอีกหลายประเทศทั่วโลก
ต่อมาในปีค.ศ. 1981 บริษัทโคลต์จึงได้พัฒนาและปรับปรุงปืน M16A1 จนออกมาเป็นปืน M16A1E1 เพื่อ
รองรับกระสุนขนาด 5.56x45 mm. NATO รุ่นใหม่คือกระสุน M855 Ball หรือ SS-109 ของบริษัท FN ซึ่ง
มีความแม่นยำและอานุภาพมากกว่าเดิม จนในปีค.ศ. 1982 หน่วย US Department of Defense (US
DoD)จึงได้บรรจุปืน M16 รุ่นนี้เข้าประจำการและเรียกในชื่อใหม่ว่า "US Rifle, 5.56mm, M16A2" ซึ่ง
ปืน M16A2 นี้สามารถยิงได้เพียง 2 รูปแบบ คือ แบบกึ่งอัตโนมัติ (Semi-Auto) ครั้งละ 1 นัด/ครั้ง และ
แบบอัตโนมัติชุดละ 3 นัด (Burst Auto) โดยมีคันบังคับการยิงให้จัดเลือกอยู่ทางด้านซ้ายเหนือด้ามปืน
ซึ่งต่างจากปืน M16A1 ตรงที่แบบอัตโนมัติของรุ่น A1 จะเป็นแบบอัตโนมัติเต็มตัว (Full-Auto) กล่าวคือ
ปืนจะทำการยิงตามวงรอบการทำงานไปเรื่อยๆจนกว่าผู้ยิงจะเลิกเหนี่ยว ไกปืนหรือจนกว่ากระสุนจะหมด
ซองกระสุน มิใช่ยิงเป็นชุดเพียง 3 นัดเท่านั้น ไม่ว่าผู้ยิงจะเหนี่ยวไกค้างไว้หรือไม่ก็ตาม
ในปีค.ศ. 1994 ทางบริษัทโคลต์ได้มีการปรับปรุงสมรรถภาพของปืน M16A2 อีกครั้งเป็นรุ่น A3 และ A4
ตามลำดับ โดยปืน M16A3 นั้นสามารถยิงได้สองโหมดคือ ยิงทีละนัด (Semi-Auto)และยิงอัตโนมัติเต็ม
ตัว (Full-Auto)เท่านั้น ส่วนปืน M16A4 นั้นจะยิงได้สองโหมดนี้คือ โหมดยิงทีละนัด (Semi-Auto) และ
แบบอัตโนมัติชุดละ3นัด (Three-Burst Auto) โดยรุ่น A4 มีลักษณะภายนอกคล้ายกับ A2 และ A3 ทุก
ประการแต่สามารถถอดด้ามหูหิ้ว (Flat Top Receiver) ออกเพื่อติดตั้งอุปกรณ์เสริมต่างๆได้ในขณะที่ A2
และ A3 จะเป็นแบบติดตั้งตายตัว
ในช่วงทศวรรษ 1980 ปืน M16A1 ติดขาทรายและปืนกลเบา M60 จะถูกแทนที่ด้วยปืนกลเบา SAW
M249 ซึ่งใช้กระสุนขนาด 5.56x45 mm. NATO รุ่น M855 เช่นเดียวกับปืน M16A2 เพื่อเพิ่มอานุภาพ
ของอาวุธและลดภาระในการจัดส่งกระสุนและเสบียงเข้าสู่สนาม รบของหน่วยพลาธิการ ครั้นถึงทศวรรษ
1990 ปืน M16A2 จำนวนมากเริ่มถูกแทนที่ด้วยปืน M4 Carbine ซึ่งปรับปรุงมาจากปืน M16 เพื่อเพิ่ม
สมรรถนะและความคล่องตัวกับการรบในที่แคบหรือในอาคารต่างๆ
ลักษณะโดยทั่วไป
ซองกระสุนแบบ STANAG 20 นัดผลิตโดยบริษัท Colt ประเทศสหรัฐอเมริกา วางเทียบซองกระสุน 30 นัดของบริษัท H&K ประเทศเยอรมนี
กระสุนขนาด 5.56x45 mm. NATO บรรจุในแมกกาซีนความจุ 30 นัด
ชิ้นส่วนต่างๆของปืน M16 ผลิตขึ้นจากกรรมวิธีต่างๆดังนี้ ปลอกลดแสง ลำกล้อง โครงปืน และชิ้นส่วนในระบบลั่นไกผลิตด้วยวิธีการขึ้นรูปด้วยกระบวนการ Forging จากวัสดุเหล็กกล้าผสมอะลูมิเนียม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายความร้อนและมีความทนทานต่อการใช้งานสูง ส่วนพานท้ายและฝาครอบลำกล้องทำจากวัสดุโพลิเมอร์ไฟเบอร์ทนความร้อน ทำให้ปืน M16 รุ่นแรกๆ นั้นมีน้ำหนักเบาเพียง 3.60 กิโลกรัมเท่านั้น (น้ำหนักปืนพร้อมซองกระสุนขนาด 30 นัด) ซึ่งเบากว่าปืนเล็กยาวจู่โจมรุ่นก่อนๆอย่างปืน M14 ในขณะที่ปืนอาก้า (AK-47) จากรัสเซียที่นิยมกันในกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์ในเวลานั้นมีน้ำหนักถึง 4.30 กิโลกรัม แต่ปืน M16 รุ่นหลังจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น 3.77 จากการออกแบบให้ลำกล้องและโครงปืนมีความหนามากขึ้นเพื่อรองรับการใช้ งานกระสุน 5.56 มม.แบบ M855 (SS-109) จึงทำให้น้ำหนักมากตามไปด้วย โดยตั้งแต่ปืน M16A2 เป็นต้นไปจะมีการออกแบบให้ปลอกลดแสงมีรูระบาย 5 รูเพื่อให้แรงดันก๊าซกดปากกระบอกมิให้เชิดหัวขึ้นเวลาทำการยิงเพื่อความแม่น ยำสูงขึ้น รวมทั้งมีความยาวของปืนเพิ่มเป็น 40 นิ้ว (1.06 เมตร) มีลำกล้องยาว 20 นิ้ว(508 มิลลิเมตร)
เครื่องยิงลูกระเบิดชนิดติดตั้งใต้ลำกล้อง (Underbarrel Grenade Launcher) ขนาด 40 มม. แบบ M203
ปืน M4A1 พร้อมเครื่องยิงลูกระเบิด M203A1 พร้อมเครื่องเล็งประณีต
อนึ่ง ปืน M16/M4 นั้นสามารถเพิ่มสมรรถนะด้วยการติดตั้งอุปกรณ์เสริม เช่น เครื่องยิงลูกระเบิดขนาด 40 มม. M203 , กล้องเล็งจุดแดง (Red Dot) , ขาทราย (Bi-pod) ฯลฯ เป็นต้น
เครื่องยิงลูกระเบิดชนิดติดตั้งใต้ลำกล้อง (Underbarrel Grenade Launcher) ขนาด 40 มม. แบบ M203
ปืน M4A1 พร้อมเครื่องยิงลูกระเบิด M203A1 พร้อมเครื่องเล็งประณีต
อนึ่ง ปืน M16/M4 นั้นสามารถเพิ่มสมรรถนะด้วยการติดตั้งอุปกรณ์เสริม เช่น เครื่องยิงลูกระเบิดขนาด 40 มม. M203 , กล้องเล็งจุดแดง (Red Dot) , ขาทราย (Bi-pod) ฯลฯ เป็นต้น
แวะมาเม้นจ้า
ตอบลบปล. อยากได้เรื่องเกี่ยวกะแมวสองหางอ่า (เนโกะมาตะก็ได้=w=)
ปล2. สู้ๆจ้า
-..-
ตอบลบคนข้างบนบ้าแมวจริงเนอะ
นี่ต้นใช่มะเนี่ย เดาเอาจากรูปดิส- -*
อ่าได้ๆเดะจัดให้แต่ไม่รุ้จะได้ป่าว
ตอบลบอ่าเดาเก่งน่ะเนี่ย