2 พ.ย. 2553

เรื่องลึกลับเกินคำบรรยาย ขอไร้สาระสักนิด

ขออภัยที่ไม่มีรูปให้ชมกัน ช่วงกลางๆจะมีตำนานผีของญี่ปุ่นด้วยน่ะ




สัตว์ที่ถูกฝังในหิน (Animals encased in stone)(ใครเกลียดคางคงก็อย่าดูรูปนะคับ^^) ชื่ออาจจะฟังดูสยองหน่อยนะครับ แต่เรื่องนี้เค้าก็จัดให้อยู่ในอันดับเรื่องแปลกและลึกลับอยู่เหมือนกัน ว่าด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับสัตว์ที่ถูกหินห่อหุ้มหรือถูกฝังอยู่ในหิน ซึ่งบางทีก็อาจจะเป็นในต้นไม้บ้าง หากว่าไปมันก็น่าประหลาดและแปลกอยู่นะครับ ว่าทำไมสัตว์เหล่านี้ถึงอยู่ถูกฝังอยู่ในเนื้อต้นไม้ ในดิน ในก้อนหินแล้วมีชีวิตรอดอยู่มาอย่างยาวนานภายใต้สภาวะที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิตอยู่แบบนั้นได้ ไม่เพียงเป็นสิบหรือร้อยปี แต่บางทีอาจจะเป็นแสนหรือล้านปีก็เป็นได้ แล้วมันไปทำอะไรอยู่ในนั้น จะว่าถูกหินดินทับหรือสัตว์เหล่านั้นขุดและมุดลงไปเอง มันก็น่าแปลกใจและไม่น่าเป็นไปได้อ่ะนะครับ ก็ได้แต่คาดเดากันไปต่างๆ นานา แต่เหตุผลหรือทฤษฎีที่อธิบายปรากฏการณ์นี้ได้อย่างชัดเจนแล้ว ปัจจุบันก็ยังหาข้อสรุปมากล่าวกันลำบากอยู่พอดูนะเนี่ย ชมตัวอย่างรายงานการพบเจอกันซักเล็กน้อยดีกว่าครับ ค.ศ.1761 นักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศสได้ตีพิมพ์รายงานการพบคางคกถูกฝังอยู่ในก้อนหิน ค.ศ.1818 นักธรณีวิทยาอเมริกัน 2 คนได้ขุดพบกบถูกฝังอยู่ในชั้นหินที่มีอายุมากกว่า 6,000 ปี ค.ศ.1821 นาย David Virtue ขุดพบกิ้งก่าฝังอยู่ในชั้นหินลึกราว 22 ฟุต ซึ่งหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง เจ้ากิ้งก่าก็สามารถขยับและเคลื่อนไหวได้ ค.ศ.1856 สำหรับเรื่องนี้หลายคนก็อาจจะทราบกันดี เพราะโด่งดังพอดู มืออสูรฯ ก็เคยนำไปเขียนถึงครับ คือมีการขุดอุโมงค์เพื่อทำทางรถไฟใต้ดินของประเทศฝรั่งเศส แล้วบังเอิญขุดเจอสัตว์โบราณประเภท เทโรซอร์ (Pterosaur) หรือเทราโนดอน (Pteranodon) เข้า ซึ่งหลังจากขุดเจอเพียงไม่กี่นาที เจ้าสัตว์ตัวนี้ก็เริ่มขยับตัวขึ้นอีกครั้งครับ แต่อยู่ได้เพียงไม่นานมันก็ร้องออกมาแล้วขาดใจตายไป โอ้ น่าเสียดายอยู่นะครับเนี่ย ค.ศ.1865 หนังสือ Hartlepool Free Press ของอเมริกาได้ตีพิมพ์รายงานการพบคางคกโบราณที่ถูกฝังอยู่ในโพรงชั้นหินปูนลึกจากพื้น 24 ฟุต จากการตรวจสอบแล้วประมาณกันว่ามันมีอายุราวพันกว่าปีมาแล้ว ค.ศ.1876 หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของแอฟริกาใต้ได้รายงานการพบ คางคกถึง 62 ตัว ถูกฝังอยู่ในโพรงต้นไม้ อายุไม่ต่ำกว่า 30-50 ปี เป็นอย่างน้อย เอาเท่านี้ก่อนดีกว่าครับ เดี๋ยวจะกลายเป็นรายการสารคดีไปซะก่อน ข้อมูลอาจจะเก่าไปนิดนึง ไม่ว่ากันเน้อ อิอิ ตัวอย่างสัตว์ที่ยกมานี่เหมือนถูกสตัฟฟ์ไว้ในหินชั่วคราว โดยฝีมือของกาลเวลายังไงยังงั้นเลยซิครับ แต่ทุกตัวต่างก็ฟื้นขึ้นมาและมีชีวิตอยู่ต่อได้สบายบรื๋อ บางตัวก็อยู่รอดมาได้อีกเป็นปีหรือหลายปี แต่บางตัวไม่นานก็ตายครับ อะไรทำให้สัตว์เหล่านั้นมีชีวิตในสภาพจำศีลอยู่มาได้นานถึงขนาดนั้น คำถามนี้ยังคาใจนักวิทยาศาสตร์มานาน อาจจะเป็นกลไกการป้อนกันตัวเอง พลังปราณชีวิต พลังในการบังคับร่างกายของตัวสัตว์เองหรือเปล่า บางที…วันหนึ่งข้างหน้าคำตอบที่เรารอคอยอาจจะมาถึงก็ได้ครับ นับว่าเป็นอะไรที่ไม่ธรรมดาอยู่เหมือนกันนะครับ สำหรับบรรดาสัตว์ที่สามารถอยู่รอดมาได้นานนับสิบปีจนไปถึงหลายร้อยพันปีไปโน่น ความลับของการมีชีวิตมาอย่างยืนยาวภายใต้สภาวะจำศีลแบบนั้นคืออะไรกันแน่ แล้วถ้ามีการค้นพบปัจจัยหรือวิธีที่ทำให้สัตว์เหล่านี้สามารถอาศัยและมีชีวิตรอดมาได้จากสภาพแบบนั้น ความฝันในการมีชีวิตที่ยืนยาวหรือการเป็นอมตะของมนุษย์ก็อาจจะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมก็เป็นได้ครับ ก็เล่าสู่กันฟังมาพอสมควร พอให้รู้จักกันนิดหน่อย สำหรับอันดับแรกก็คงเอาไว้แค่นี้ดีกว่าครับ ไม่เยิ่นเย้อดี เอ้า เราไปชมอันดับต่อไปกันเลยดีกว่า




4. ฝนกบ ฝนปลา (Fish Falls & Weird Rain) เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องนึงที่ทุกท่านคงจะคุ้นเคยหรือทราบกันเป็นอย่างดีแล้วนะครับ ถ้างั้นเราก็จะไปกันแบบเร็วหน่อยดีมั๊ยครับ หากจะว่าไปแล้วเรื่องฝนสัตว์ ฝนพืชเนี่ย เป็นอะไรที่เหลือเชื่อและประหลาดน่าดูชมอยู่เหมือนกันนะครับ ถ้าหากเรามานั่งคิดกันตามหลักความเป็นจริงแล้ว การที่มีบางอย่างตกลงมาจากท้องฟ้าโดยที่ไม่ใช่ฝน หิมะหรือลูกเห็บ ฯลฯ มันก็ดูแปลกดีครับ และยิ่งถ้าสิ่งที่ตกลงมาเป็นปลา เป็นกบเนี่ย หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ละก็ ความแปลกก็จะทวีเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวเลย จากรายงานบันทึกกล่าวไว้ว่าสิ่งที่มีการตกลงมาเป็นจำนวนมากไม่ใช่เพียงแค่ปลาอย่างเดียวเท่านั้นนะครับ หากแต่ยังมีสัตว์อีกหลายชนิด เช่น กบ คางคก หอย จระเข้ ทาก งู อีกทั้งเมล็ดธัญพืชอีกนานาชนิดอีกด้วยครับที่เคยมีบันทึกเอาไว้ว่าตกลงมาจากท้องฟ้า อ้อ หากพูดถึงเรื่องฝนกบ ฝนปลา สารพัดฝนแล้วไม่พูดถึงบุคคลท่านนี้หน่อยก็จะดูกระไรอยู่นะครับ เขาก็คือชาร์ลส์ ฟอร์ท (Charles Fort) นั่นเอง แล้วชาร์ลส์ ฟอร์ท เป็นใครกันละ? ครับ เขาก็คืออเมริกันชนผู้ที่บุกเบิกในเรื่องลึกลับและเหตุการณ์แปลกประหลาดเป็นคนแรกๆ ทั้งยังเป็นคนเก็บบันทึกรายงานเรื่องราวแปลกๆ เอาไว้มากมาย ผลงานตีพิมพ์เป็นหนังสือออกมาก็หลายเล่มอยู่ครับ แต่ฉบับที่โด่งดังที่สุดก็เห็นจะเป็นหนังสือที่ชื่อ The Book of the Damned หรือที่รู้จักกันในชื่อฟอร์เทียน่า (Forteana) ซึ่งเป็นหนังสือที่รวบรวมเหตุการณ์การประหลาดต่างๆ เอาไว้เพียบ เช่น ฝนกบ ฝนปลา ฝนเมล็ดพืชและปรากฏการณ์แปลกประหลาดอีกหลายเรื่องครับ นายฟอร์ท คนนี้นั้นถือได้ว่ามีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมากทีเดียวครับในช่วงยุค ทศวรรษที่ 19 สำหรับยุคเฟื่องฟูและยุคบุกเบิกวงการเรื่องแปลก เหตุการณ์ประหลาดที่หาคำอธิบายไม่ได้ เรื่องฝนกบ ฝนปลา ก็ได้นายคนนี้แหละครับที่เป็นคนนำเสนอรายงานและเผยแพร่บันทึกเป็นวงกว้างมากขึ้นต่อสาธารณะชน กล่าวกันว่าบันทึกเรื่องแปลกของฟอร์ทนั้นมีถึง 600,000 เรื่อง เลยทีเดียวครับ นับว่าไม่ธรรมดาทีเดียว ......นอกเรื่องออกไปซะไกล กลับมาเข้าเรื่องต่อดีกว่าครับ คำถามที่สงสัยกันก็คงจะไม่พ้นข้อที่ว่า แล้วบรรดาปลาหรือสรรพสิ่งทั้งหลายขึ้นไปอยู่ในอากาศได้ยังไง ? แล้วตกลงมาเป็นฝนได้อย่างไร ? และไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เสียด้วยซิครับ อื้ม....มีผู้รู้และผู้สันทัดกรณี รวมทั้งผู้ที่ศึกษาปรากฏการณ์เหล่านี้อย่างจริงจัง ได้ให้คำอธิบายไว้ว่างี้ครับ คือว่าสาเหตุหรือตัวการที่เป็นต้นตอของเรื่องราวสารพัดฝนประหลาดนี้นั้นก็คือ พายุเฮอร์ริเคน ทอร์นาโด ไต้ฝุ่น นี่แหละครับ ที่หอบเอาบรรดาสารพัดสิ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ซึ่งบางทีอาจจะจากแม่น้ำลำคลอง คูหนอง คลองบึง ทะเล หรือมหาสมุทรหรือแล้วแต่ทางที่พายุพัดผ่านไป แล้วเมื่อพายุอ่อนกำลังลง บรรดาสารพัดสิ่งที่พายุพัดหอบเอามาด้วย ก็เลยตกลงไปกลายเป็นสารพัดฝนนี่แหละ นับว่าเป็นทฤษฎีที่ให้คำอธิบายที่ดีและน่าสนใจมากครับ แต่.....แต่ครับ เมื่อมีผู้สนับสนุนก็ย่อมมีผู้คัดค้านเช่นกัน ยังมีเกจิอีกหลายท่านครับ ที่บอกว่า เป็นไปม่ายล่าย ทฤษฎีพายุหมุนนี่ยังไม่น่าจะอธิบายได้หมดจดชัดเจนทุกเรื่องนะ อย่างเช่น เรื่องจำนวนของสิ่งที่ตกลงมาน่ะ อย่างเรื่องฝนกบที่ตกลงมาเนี่ย บึง หนอง คลอง ไหนจะมีจำนวนกบเป็นร้อยๆ พันๆ ตัว อาศัยอยู่ หรือไม่ก็เมล็ดพืชที่ไหนที่ถูกหอบเอามาตกเป็นตันๆ แบบนี้ ครับ แค่ปัญหา 2 ข้อนี้ ก็ทำให้ผู้สนับสนุนทฤษฎีพายุหมุนปวดหัวแล้วครับ หากจะบอกว่าพายุหมุนพัดผ่านแม่น้ำลำคลองหรือทะเลสาบหลายที่และสะสมจำนวนกบและปลา หรือพัดผ่านไร่น่าทุ่งหญ้าและสะสมจำนวนเมล็ดธัญพืชมาจนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วพอพายุอ่อนแรง สารพัดสิ่งที่หอบมาก็เลยตกลงไปเนี่ย มันก็เป็นอะไรที่คนตอบจะเจ็บสีข้างน่าดู (เพราะคำตอบเป็นแบบเถียงเอาสีข้างถูไป) เหตุผลอีกข้อที่ฝ่ายค้านว่าไว้ก็คือว่าส่วนใหญ่แล้วสิ่งที่ตกลงมานั้นน่ะ มักจะมีแค่อย่างเดียวหรือก็คือถ้าเป็นฝนกบ ก็จะมีแค่กบนั้นแหละที่ตกลงมา 100-200 ตัว หรือถ้าเป็นปลาก็มักจะมีแค่ปลาเท่านั้นที่หล่นลงมา น้อยครั้งที่จะมีอะไรอย่างอื่นผสมมาด้วย แล้วพายุที่ไหนครับที่เลือกพัดหอบเอาแค่กบ เอาแค่ปลา ไปตกที่อื่น ? อื้ม น่าคิดนะครับเนี่ย เป็นอะไรที่น่าสนใจดี (อีกแล้ว) ครับสำหรับข้อสังเกตนี้.........สำหรับเรื่องราวฝนประหลาดนี้ก็ยังเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันต่อมาจนถึงทุกวันนี้ครับ ว่าแท้จริงแล้วมันเกิดจากอะไรกันแน่ อาจจะเป็นแค่ความบังเอิญหรือเป็นเพียงปรากฏการณ์จากธรรมชาติธรรมดาๆ เท่านั้น หรือว่า ................................. เว้นเอาไว้ให้เติมกันต่อเองครับ ^_^ ขอแถมท้ายกับรายงานล่าสุดของฝนประหลาดอีกหน่อยครับ ในปี ค.ศ. 2000 ที่ประเทศเอธิโอเปียมีรายงานว่ามีปลาตกลงมาจากท้องฟ้านับล้านตัว โอ้ แม่เจ้า นับเป็นสถิติฝนปลาที่มากที่สุดได้เลยนะครับเนี่ย ก็ว่ากันไปละครับสำหรับข้อมูลของอันดับนี้ ตอนแรกว่าจะเล่าน้อยๆ แฮะ แต่ไหงร่ายยาวเลยหว่า อิอิ เอาละ เราไปต่อกันที่อันดับต่อไปเลยดีกว่าครับ


ไมคุบิ หรือ หัวลอยฟ้า.

เรื่องของไมคุบินั้น เกิดขึ้นในช่วงกลางของรัชสมัย คามาคุระ(พ.ศ.1786-1790)
หลังจากที่โชกุน มิยาโมโตะโนะ โยริโทโมะ ได้เริ่มต้นการปกครองโดย ซามูไร
อำนาจจึงกลายมาเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งต่างไปจากสมัยที่คนที่มีเชื่อพระราชวงศ์
ซึ่งจะปกครองประเทศโยการส่งเสริมวัฒนธรรมที่งดงาม...

เรื่องของไมคุบิ เกิดขึ้นในวันเทศกาลนกกะเรียนที่เกาะ อิซึ ได้มีการทะเลาะกันระหว่างซามูไรที่เอาแต่ใจตัวเอง
3คน ชื่อ โคซันตะ มาตะชิเงะ และ อาคุโกโร 3คนนี้มักจะเอาเรื่องเล็กๆน้อยๆ มาทะเลาะกันเป็นประจำ
เพราะต่างคนต่างมีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก และไม่ยอมให้กับคนอื่น...

สุดท้ายก็ได้ชักดาบออกมาฟันกัน ทีแรก อาคุโกโร ได้ฟันคอของโคซันตะขาด(โคซันตะเลยไม่ได้ฟันใครเลย... )
ต่อมาก็ได้วิ่งตาม มาตะชิเงะ ที่พยายามหนี แต่ว่าโชคร้าย อาคุโกโรได้สะดุดก้อนหินแล้วล้มลง
มาตะชิเงะ เห็นดังนั้น จึงฟันคอ อาคุโกโรขาด แต่อาคุโกโรก็ไม่ยอมโดนฟันเฉยๆ เขาได้พยายามฟันคอของ
มาตะชิเงะ จากทางด้านล่าง จนขาดเช่นกัน และสุดท้าย หัวของทั้ง3คน ก็กลิ้งตกทะเลไปพร้อมๆกัน...

เป็นที่น่าเวทนาว่า ถึงแม้จะตายไปแล้ว แต่ทั้ง3คนก็ยังคง วนเวียนทะเลาะกันอยู่อย่างไม่รู้จบสิ้น
หลังจากนั้นเป็นต้นมา พอตกดึกบางคืนก็จะมีคนเห็นเป็นคลื่นลายลูกน้ำ3ลูก คอยพ่นไฟแห่งความแค้นออกมา
และเกิดเป็นคลื่นน้ำวน ที่มีเสียงดังโหยหวนมาจากก้นทะเล...

มีความเชื่อที่ว่า ในคืนที่พระจันทร์เต็มดวง หากไปยืนริมทะเลหรือท่าเรือ
แล้วตะโดนชื่อของซามูไรทั้ง3คน(ต้องใช้คน3คน และตะโกนเรียกคนละชื่อ)
ไมคุบิ ก็จะปรากฏให้เห็น และถ้าคนเรียกจิตไม่แข็งพอ ก็อาจถูกไมคุบิเข้าสิงได้...


โดโดเมกิ
ปีศาจร้อยตา
ในสมัยอดีตมีหญิงลึกลับอยู่คนหนึ่ง เธอมีแขนยาวและสามารถใช้มือและแขนได้อย่างคล่องแคล่ว
เธอมีนิสัยชอบล้วงกระเป๋าและลักโขมย จึงมีคนเรียกเธอว่า "เทงานะ" (คนแขนยาว)
เเละเงินที่เธอโขมยไปจะติดตามร่างกายเธอทันที และจะกลายเป็นดวงตาเลยเรียกว่า โดโดเมกิ
โดโดเมกิ


คิวบิโนะคิซึเนะ
จิ้งจอก9หาง
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...เมื่อครั้งโลกตกอยู่ในความวุ่นวายยุ่งเหยิงโกลาหล..
ก็ปรากฏควันประหลาดพวยพุ่งขึ้นมาจากทะเลลอยขึ้นไำปบนท้องฟ้า
กลายเป็นปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง...มันเป็นสุนัขจิ้งจอกที่เป็นอมตะมีขนสีทองขึ้นเต็มตัวและมีหางยาว9หาง...
ทั้งหมดนี่คือลักษณะของปีศาจจิ้งจอกสีทอง9หางที่ได้มีบันทึกไว้ในเรื่องเล่าโบราณของชาวญี่ปุ่น
...บันทึกระบุไว้ว่าจิ้งจอกตัวนี้ได้เดินทางไปยังเมืองเยิ่นซึ่งเป็นเมืองเก่าแก่ของประเทศจีน
แล้วก็แปลงร่างเป็นสาวงามเข้าไปหลอหลวงพระจักรพรรดิใช้ทำสิ่งชั่วร้ายทุกรูปแบบ
แต่หลังจากพระเจ้าหวู่หวังของเมืองโจวได้ล้มล้างเมืองเยิ่นแล้วเจ้าปีศาจตนนี้ก็ได้หายตัวไป...
และไปปรากฏตัวอยู่ที่ประเทศอินเดียแล้วกลายเป็นภรรยาของเจ้าฟ้าชายแห่งเมืองฉิน
คอยชักนำการเมืองไปในทางที่ผิดจนเกิดสงครามขึ้น...และจากนั้นมันก็ได้แปลงร่างเป็นเด็กผู้หญิง
แอบเข้าไปในเรือของทูตชาวญี่ปุ่นชื่อคิบิโนะมาคิบิซึ่งกำลังเดินทางกลับจากเมืองจีน...
เมื่อเรือกลับมาถึงญี่ปุ่นแล้วมันก็ได้แปลงร่างอีกครั้งหนึ่งเป็นเด็กกำพร้ามีซามูไรคนนึงสงสาร
จึงได้เก็บไปเลี้ยงเนื่องจากเด็กคนนี้ฉลาดหัวดีหน้าตาสะสวยเมื่อโตขึ้นจึงได้เป็นสนมของพระจักรพรรดิ
...มันเรียกชื่อตัวเองว่าทามาโมะโนมาเอะคอยดูแลอยู่ใกล้ชิดพระจักรพรรดิ...
แต่แล้วก็มีหมอดูคนหนึ่งชื่อว่าอาเบโนะยาสึนาริสามารถมองออกว่ามันเป็นจิ้งจอกแปลงร่างมา
มันเลยจวนตัวต้องหนีขึ้นท้องฟ้าแต่หมอดูยาสึนารินั้นก็ได้ใช้พลังเหนือธรรมชาติ
ทำให้มันตกลงไปที่ทุ่งรกร้างในนาสึ(จังหวัดโทชิกิ)
.....ในที่สุดมันก็ได้เปลี่ยนร่างเป็นก้อนหินก้อนหนึ่งชื่อว่าเช็ดโซเซกิ(หินฆ่าสิ่งมีชีวิต)
ซึ่งเช็ดโซเซกินี้จะพ่นก๊าซไฮโดรเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตรอบข้าง
...และในปัจจุบันนี้หินเช็ดโซเซกินี้ก็ยังคงเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตอยู่
(ตอนนี้หินนี้ตั้งอยู่ที่ทุ่งนาสึในจังหวัดโทชิกิณปัจจุบัน)......ว่ากันว่านี่ก็คือพิษของปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง
ที่เคียดแค้นและจงใจแกล้งมนุษย์นั่นเอง...

โพสกันเยอะๆหน่อยสิ น้อยใจนะครับ

เรื่องอะไรไม่รู้
เดาเอาเอง
นี้

1.จิ้งจอก9หาง
2.สาว2ปาก
3.อิ๊กกิ(คล้ายๆพรายน้ำ)
4.ผีนับจาน
5.ปีศาจร้อยตา (ที่จริง...เป็นผู้หญิงนะ)
6.ผีร้อยตา

ในสมัยอดีต พนักงานดับเพลิงชอบรวมตัวกันเพื่อดื่มเหล้า และคุยเรื่องต่างๆ ซึ่งก็มีคนๆหนึ่งเล่าเรื่องได้สนุกสนานเป็นประจำ
วันหนึ่ง มีการเลี้ยงของกลุ่มพนักงานดับเพลิง แต่กลับไม่มีชายที่เล่าเรื่องสนุกคนนั้นอยู่ด้วย ไม่นานนักชายคนนั้นอยู่ด้วย ไม่นานนักชายคนนั้นก็ปรากฏตัวที่หน้าประตู แต่เขากลับบอกว่า "วันนี้มีนัดขอตัวก่อนนะ..."
พอจะออกไป หัวหน้าก็รั้งตัวเขาไว้ จากนั้นก็รินเหล้าใส่ถ้วยแล้วบังคับให้ดื่มตั้งหลายถ ้วย และยังบอกให้เล่าเรื่องสนุกให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง ผู้ชายคนนั้นเมาจนลืมการนัด และได้เล่าเรื่องเสียจนเนิ่นนาน
จู่ๆ ก็มีเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากข้างนอกว่า มีคนผูกคอตาย เมื่อหัวหน้าได้ยินเรื่องนี้แล้วก็บอกว่า "อิ๊กกิ ที่กำลังจะเข้าสิงเธออยู่ ได้ออกไปแล้ว เธอจำได้ไหมว่า เธอมีนัดอะไรอยู่"
เขาก็ตอบว่า "เหมือนในความฝัน จำได้ไม่ชัดเจนครับ...แต่รู้สึกว่าตนต้องผูกคอตาย"
อิ๊กกิ เป็นปีศาจชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นวิญญาณของคนที่จมน้ำตายในแม่น้ำ การที่เรารู้สึกอยากตายในขณะที่อยู่ริมแม่น้ำนั้น ก็คงจะเป็นการทำงานของ อิ๊กกิ นั่นเอง

ที่นอนกับชายตาบอด

ในรัชสมัยเมจิ ที่ 5 (พ.ศ.2416) โทเมะ ซึ่งเป็นเจ้าของร้านขายเสื่อทาทามิ ในนิฮอนบาชิ กรุงโตเกียว กลุ้มใจเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่มักจะเกิดขึ้นในทุกๆคืน เรื่องมีอยู่ว่าก่อนที่โทเมะ จะเข้านอนทุกครั้ง เขามักจะเห็นที่นอนลอยอยู่กลางอากาศ ต่อจากนั้นก็ได้ยินเสียงฝนตกหนัก และพอได้ยินเสียงนี้แล้ว ชายตาบอดก็จะมาปรากฏตัวขึ้น
และดูเหมือนว่าเสียงฝนนี้เองที่เป็นสัญญาณเรียกชายตา บอดคนนี้มา เขาจะชอบมานั่งอย่างเรียบร้อย อยู่ข้างๆหมอนโทเมะ ทุกคืน
ชายตาบอดคนนี้ไม่ได้ทำอะไร อีกทั้งหน้าตาก็ไม่ได้น่าเกลียดมาก แต่ทุกครั้งที่ชายคนนี้ปรากฏตัวขึ้นมา โทเมะ จะรู้สึกเศร้าหมองขึ้นมาทันที
เมื่อได้เจอกับเหตุการณ์แบบนี้บ่อยๆเข้า โทเมะ จึงตัดสินใจที่จะไม่นอนที่บ้าน แต่จะลองไปพักที่อื่นดู แต่ผลที่เกิดขึ้นก็ยังคงเหมือนเดิม
โทเมะ รู้ว่า ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป คงจะกลายเป็นโรคประสาทแน่ๆ จึงไปหาคนที่เก่งทางด้านไสยศาสตร์ในกรุงโตเกียว แล้วก็ขอให้เขาสวดอธิษฐานเพื่อไล่ชายตาบอดคนนี้ให้
พิธีอธิษฐานได้ทำอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาสามวัน ต่อจากนั้นโทเมะ ก็ไม่ได้ยินเสียงฝนและ ไม่เห็นชายตาบอดอีกเลย
คาดว่าชายตาบอดคนนี้น่าจะเป็นวิญญาณชนิดหนึ่งที่ล่อง ลอยอยู่บนโลก แต่เนื่องจากพิธีสวดอธิษฐาน จึงสามารถที่จะขับไล่มันไปได้

มีแต่ชื่อเรียก เอางี้ล่ะ...แม่นาง Futakushionna (ฟุตาคุชิอนนะ) หรือปีศาจหญิง2ปาก
แม่นางผู้นี้นั้น อยู่อาศัยที่ประเทศญี่ปุ่น อำเภอ ชิโมอูซะ จังหวัดชิบะสามีเธอม่องไปก่อนแล้ว
แล้วตาสามีดันมีลูกติดจากภรรเมียคนเก่ามาด้วย แม่นางคนนี้ ก็เลยเกลียดเข้าไส้

ไม่ยอมให้ข้าว ให้น้ำกับลูกติดคุณสามีเลย จนเด็กอดอาหารตายในที่สุด

ผ่านไป49วัน วันที่50รึไงเนี่ย Sheก็ดันไปเดินผ่านผู้ชายที่กำลงผ่าฟืนอยู่

ไม่รู้ว่าขวานหลุดมือ หรือSheจะเป็นลมอยากดมวาเป๊กกันแน่

ขวานก็เลยเฉาะที่หลังหัวเข้าให้

โผล๊ะ!!...(Sound Effectเพื่อความตื่นเต้ล>w<)

สันขวานตีหัวแม่นางแตก เลือดก็เลยไหลทะลักมากมาย

หลังจากนั้น ปากแผล รักษาเท่าไหร่ก็ไม่หายซะที

นานไปๆ มันกลายร่างเป็นรูปปาก มีฟัน และลิ้นแถมมาด้วยนะเออ มีช่วงเวลานึง

แผลจะปวดโฮกๆ แต่พอยัดอาหารลงไป ก็หายปวดทันที

นานวันเข้า ไอ้แผลนั้น ก็กลายมาเป็นปากหลังทันที
บางครั้ง ปากหลังก็บ่นพึมพัมออกมาให้ได้ยินว่า "ขอขมาซะ จงขอขมาซะ...."

นานไปแม่นางก็มีลูกสาวออกมาอีก1นาง เดาว่าคงเป็นมิยาบิล่ะนะ

แปลกนัก ลูกสาวที่เธอคลอดออกมา กลับมีสองปากเช่นมารดา

หากเวลาจะทานอาหาร เส้นผมที่ยาวสลวยก็จะกลายสภาพเป็นมือ เพื่อหยิบจับอาหารเข้าปากหลัง

หากแม่นางมิยาบิ ไม่เอาอะไรไปยัดใส่ปากหลังเลย มันก็จะร้องโวยวายลั่น จนกว่าอาหารจะถูกใส่เข้าไป

ตัวหนังสือเยอะชิมิ


ซึจิกุโมะ หรือ แมงมุมดิน...


รูปของ ซึจิกุโมะ

ซึจิกุโมะ เป็นปีศาจแมงมุมตัวใหญ่ที่ชอบแสดงอำนาจ...
สมัยอดีต โชกุน มินาโมโตะ โยริมิตสึ มีอาการป่วยหนัก รักษายังไงก็ไม่หาย จึงได้ทำพิธีปัดเป่าวิญญาณ
แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ โดยจะมีอาการปวดหัวและมีไข้ นอนป่วยทรมานอยู่ทุกวัน...คืนวันหนึ่ง หลังจากที่
ฮิราอิ ยาสึมาสะ ซึ่งเป็นผู้ดูแลเฟ้าไข้ และผู้ติดตามอีกสามคน ก็ปรากฏพระสงฆ์รูปหนึ่ง สูงประมาณ2เมตร
มาปรากฏตัวขึ้นทางด้านหลังของโคมไฟในห้องของท่านโชกุ น และย่างเท้าเข้าหาท่านโชกุน
จากนั้นก็ปล่อยใยแมงมุมใส่ ท่าโชกุนตื่นมาพอดี จึงหยิบดาบ ฮิซาคิริมารุ ที่วางอยู่ ข้างๆหมอน ขึ้นฟันปีศาจนั้น
ผู้ติดตามทั้งสี่คน เมื่อได้ยินเสียงดังกล่าว ก็รีบวิ่งเข้ามา พบว่ามีรอยเลือดหยดอยู่ข้างโคมไฟ
จึงได้เดินตามรอยเลือดไป จนพบกับเนินดินเก่าๆแห่งหนึ่ง พอลองขุดเนินดินนั้นดู
สักพักก็ปรากฏร่างของปีศาจแมงมุมดินตัวใหญ่ขึ้น แล้วปล่อยใยแมงมุมออกมาอีกรอบ แต่ทุกคนก็ช่วยกันฟันมัน
จนในที่สุด ปีศาจแมงมุมดินนี้ ก็สิ้นลมหายใจ...
หลังจากนั้นเป็นต้นมา ท่านโชกุนก็หายป่วยเป็นปลิดทิ้ง และไม่ปรากฏอาการป่วยอีกเลย...



นางมีนามว่า...แม่นางโอคิกุ(เรียกซะจีนเลยแม่นางนู่นแม่นางนี่= =")
หรือปีศาจนับจานที่เราคุ้นเคยกันดี(รึเปล่า) ชื่อเต็มก็ซาราคาโซเอะ(Saragasoe)
สมัยเมื่อยังสาวๆ....เอ้ย! สมัยนู่นนนแน่ะขุนนางนามอาโอยามะชุเซ็น
อยู่ที่หมู้บ้านบันโซณเมืองเอโดะ(โตเกียวน่ะแหละ- -")กับภรรยาและสาวใช้
สองสามีก๊ะภรรเมียนี่มีนิสัยซาดิสม์ใช้ได้
วันนึงโอคิกุผู้โชคร้ายก็ได้ทำจานแตก....
เพล้ง!!!! เสียงจานกระเบื้องเนื้อดีราคาแพงจากจีนแตกไป1ใบจาก10
สองสามีกะภรรเมียผู้ไม่เคยปราณีใครก็ได้ช่วยกันจับโอ คิกุที่กรีดร้องขอลุแก่โทษ
ตัดนิ้วกลางข้างขวาออกเสียหนึ่งนิ้วแล้วจับโยนลงไปใน บ่อน้ำปล่อยให้ตาย
จากนั้นทั้งสองก็ใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุขHappy Endding....
ไม่ใช่สิ-*- ทั้งสองก็ไปแจ้งความเท็จกับทางการว่าโอคิกุป่วยตาย
ด้วยความอาฆาตของวิญญาณในเดือนพฤษภาคมคุณภรรยาก็ได้มีบุตรชาย
หากว่านิ้วกลางที่มือข้างขวานั้น...ได้ขาดหายไปหนึ่ง...ในสิบนิ้ว
ยิ่งกว่านั้นยามค่ำคืนจะมีลูกไฟประหลาดผุดออกมาจากบ่อน้ำ
ทั่วทั้งบ้านถูกปกคลุมด้วยอากาศเย็นยะเยือก
แล้วก็จะมีเสียงร้องไห้กระซิกลอยตามลมว่า
"1ใบ...2ใบ....3ใบ...4ใบ...5ใบ...6ใบ...7ใบ...8ใบ...9ใบ...ฮึก...ฮืออ...ใบที่10อยู่ที่ไหน"
สาวใช้ทุกคนที่เหลืออยู่ต่างพากันหวาดกลัวจนขอลาออกก ันไปหมด
นายขุนนางจะจ้างใหม่ก็ไม่มีใครมาสมัครเพราะข่าวมือแพ ร่ออกไปนานแล้ว
ไม่นานนักนายชุเซ็นและภรรยาก็ถูกทางการจับไปเพื่อรับบทลงโทษ

ผีคนเยอะแล้วง่า..เอาสัตว์บ้างดีกว่า
เป็นภูติจำแลงหรือประเภทกึ่งสิ่งมีชีวิตเกิดจากความคั่งแค้นที่เจ้านายโดนฆ่าตายจะว่าไปสัตว์เลี้ยงบ้านไหนมันก็รักเจ้านายมันทั้งนั้ นแหละนะทั้งรักทั้งภักดี=w=""
เรื่องของเรื่องก็คือโคมะเป็นแมวใต้ปกครองของตระกูลริวโซจิแล้วทีนี้เจ้าบ้านของตระกูลนาเบชิมะได้ฆ่าเจ้าบ้านริวโซจิตายเพราะทะเลาะกันเรื่องโกะปัญญาอ่อนดีมะ=w="" ทะเลาะกันเรื่องหมากล้อมแล้วฆ่ากันตายเนี่ยนะ
พอฆ่าตายก็เอาศพเจ้าบ้านริวโซจิไปฝังในกำแพงที่กำลัง สร้างอยู่ในบ่อน้ำเก่าแล้วทำเป็นไม่รู้เรื่องลอยชายไปงั้นคงรอให้เรื่องมันคลี่คลายเองล่ะมั้ง(เลวดีนะ...-*-)
แล้วแม่ของเจ้าบ้านที่ถูกฆ่าเนี่ยก็กำลังเป็นห่วงลูก ได้ที่เลยจู่ๆโคมะแมวใต้ปกครองก็คาบหัวเจ้านายมาโชว์ให้ดูฝ่ายแม่พอเห็นหัวลูกชายก็ตกใจมากจนฆ่าตัวตายตามแล้วส าปแช่งไอ้คนฆ่าเนี้ยไม่ขาดปาก
โคมะเองพอนายหญิงตายก็ไม่ว่าอะไรไปกินเลือดจากศพของนายหญิงจนความแค้นในกระแสเลือดของ นายหญิงซึมซาบเข้ามาในร่างก็เลยกลายเป็นปีศาจแมวคอยตามล้างแค้นตระกูลนาเบชิมะน ั่นล่ะ
ว่ากันว่าฆ่าได้1รุ่นหางจะเพิ่มมา1หางแล้วโคมะก็ทำได้ถึง7รุ่นเลยมีถึง7หางคดีนี้รู้สึกจะดังมากเลยนะมีชื่อว่า"คดีปีศาจแมวแห่งนาเบชิมะ" ชื่อเท่ดีจังถึงกับมีรูปสลักแมว7หางไว้ที่วัดเลยทีเดียวที่ตั้งก็ที่วัดฮิเตบายาชิหมู่บ้านชิราอิชิเมืองคินาชิมะจังหวัดซากะ
ต่อไปสาดรูปแมวน้อยกันดีกว่า

กัปปะหรือเนเนโกะกัปปะ

มันชอบย้ายไปอยู้โน่นบ้างนี่บ้าง จนไปตั้งรกรากที่ คะโน หมู่บ้านโทเนะ
มันชอบเล่นซนอยุ่งเรื่อยๆ โขมยปลาบ้าง ดึงม้าให้ตกน้ำบ้าง และดึงเด็กๆให้ลงไปในแม่น้ำ
แต่วัน1 มันทำพลาด
มีซามูไรคนหนึ่งพาม้ามาเดินเล่นริมแม่น้ำ มันตั้งใจจะจับก้นม้าแล้วลากลงน้ำ
ม้าตกใจและกระโดดไปรอบๆ ซามูไรจับตัวมันไว้ จึงสอนวิธีรักษาบาทแผลให้แล้วดำน้ำจากปายยยยย

ผมมีเจ้าหญิงหิมะแบบเต็มๆมาเป็นนิทานครับ


กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีช่างตัดไม้ 2 คน คนแรกเป็นชายแก่ชื่อ Mosaku และอีกคนชื่อ Minokichi เป็นชายหนุ่มอายุเพียง18 ปี ซึ่งยังเป็นช่างตัดไม้ฝึกหัดอยู่เลย วันหนึ่งขณะที่พวกเขาทำงานในป่าเสร็จและกำลังจะกลับบ ้าน ก็ได้เจอกับพายุหิมะเลยต้องเดินทาง อย่างยากลำบาก พอมาถึงท่าเรือที่พวกเขาต้องข้ามกันเป็นประจำก็พบว่า เรือข้ามฟากได้เดินทางออกไปเสียแล้ว จึงต้องทำให้พวกเขาต้องหาที่พักสำหรับคืนนี้ พอเจอที่พักพวกเขาจึงรีบเข้าไปพักทันที ชายแก่หลับลงทันที แต่ชายหนุ่มยังนอนไม่หลับเพราะมีทั้ง เสียงพายุที่น่ากลัว เสียงหิมะปะทะกับประตู เสียงน้ำในแม่น้ำ และชายหนุ่มก็หลับลงในที่สุดด้วยความเหนื่อยล้า พอกลางดึกชายหนุ่มก็สะดุ้งตื่นเพราะหิมะกระเด็นใส่ใบ หน้า เนื่องจากประตูถูกเปิดออกด้วยแรงของพายุ
หิมะ ขณะนั้นเองมีหญิงสาวเข้ามาในกระท่อม หญิงสาวแลดูขาวไปทั้งตัว เพราะหญิงสาวมีผิวพรรณที่ขาวราว
กับหิมะ และใส่ชุดกิโมโนสีขาว หญิงสาวโน้มตัวอยู่เหนือชายแก่พร้อมกับหายใจ ( ลักษณะเป็นไอสีขาวที่
มีความเย็นมากๆ ) ใส่ชายแก่ จนทำให้ชายแก่ที่หลับอยู่นั้นตัวแข็งและก็ตายในที่สุ ด หญิงสาวได้เข้ามาใกล้
ชายหนุ่มแล้วโน้มลงมาใกล้จนหน้าเกือบจะติดกันเลยทีเด ียว ซึ่งหญิงสาวนั้นมีหน้าตาที่สวยมากแต่มีนัยต์ตา
ที่น่ากลัว หญิงสาวจะหายใจใส่เหมือนกับชายแก่ แต่เนื่องจากชายหนุ่มนั้นยังอายุน้อยอยู่และยังหน้าต าดี
หญิงสาวจึงไม่ทำอะไรและก็กระซิบบอกชายหนุ่มนั้นว่า “หากเอาเรื่องที่เห็นในวันนี้ไปบอกใคร หรือว่าแม่
ของตัวเองก็ตาม ข้าจะตามไปฆ่าทันที จงจำเอาไว้ !!” พอกล่าวจบหญิงสาวก็ออกไปจากที่นั่น
1 ปีต่อมา Minokichi ก็ได้แต่งงานกับหญิงสาวกำพร้า เธอมีชื่อว่า ยูกิโอะ ซึ่งแม่ของ Minokichi ชื่นชอบ
มาก และอีก 10 ปีต่อมา ยูกิโอะ ได้ให้กำเนิดลูก 3 คน และเป็นเด็กน่ารักกันทุกคน คืนวันหนึ่ง ขณะที่ ยูกิโอะ
กำลังเย็บผ้าอยู่ใต้แสงไฟ Minokichi มองหน้าเธอแล้วก็พูดว่า “เห็นเธอแล้วทำให้ผมนึกถึงผู้หญิงที่ผมเคยเจอ
วันที่ Mosaku ตาย เมื่อ 10 ปีก่อน เธอมีผิวขาวมากราวกับหิมะ ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยเห็นผู้หญิงที่ทั้งขาว
และสวยแบบนี้มาก่อนเลย แต่ยกเว้น ยูกิโอะ นะ ” ยูกิโอะ หยุดเย็บผ้าแล้วก็บอกกับ Minokichi ว่า “ข..ข..ข้า
บอกแกแล้วใช่มั้ยว่าข้าจะฆ่าแกถ้าเอาเรื่องนี้ไปบอกใ คร แต่ตอนนี้เด็กๆ นอนหลับอยู่ และเนื่องจากที่ผ่านมาแก
เป็นคนดีและดูแลเด็กๆเป็นอย่างดี ข้าจะยังไม่ฆ่าแกตอนนี้ แต่ถ้าวันไหนไม่ดูแลเอาใจใส่เด็กๆ วันนั้นข้าจะกลับ
มาฆ่าแกทันที !!” หลังจากพูดจบ ยูกิโอะ ก็ออกไปจากบ้านพร้อมกับเสียงโหยหวนในคืนอันหนาวเหน็บ
Minokichi รู้ตัวอีกทีก็รู้ว่าตัวเองได้ "ทำผิดสัญญา" ที่ให้กับหญิงคนนั้นไว้ ตั้งแต่คืนนั้นมา Minokichi ก็ไม่ได้
พบกับยูกิโอะอีกเลยแต่ชายหนุ่มก็ไม่สามารถลืม ยูกิโอะ ได้ เขาจึงออกตามหาเธอวันแล้ววันเล่าแม้จะเหน็ดเหนื่อยเพ ียงใดเขาก็ไม่ย่อท้อ ในที่สุดผลของความพยายามทำให้เขาได้พบกับเมืองหิมะเข ้าจริงๆ เป็นเมืองที่แปลกประหลาดที่สุดที่เค้าเคยเห้นมาเพราะ เมืองนั้นนอกจากจะมีอากาศที่หนาวเย็นยะเยือกแล้ว ข้าวของทุกๆอย่างที่มองเห็นนั้นกลับกลายเป็นไม่สามาร ถจับต้องได้ เป็นเหมือนภาพลวงตาเท่านั้น ด้วยความมุ่งมั่นที่ต้องการ
ตามหาหญิงสาวที่รักให้พบนั้น เมื่อชายหนุ่มดินทางเพื่อจะตามหาหญิงสาว เค้าก็ไม่ทันจะได้เห็นหน้าผาสูงชัน
ที่ไม่ไม่สามารถมองเห็นพื้นดินด้านล่าง แต่เค้าก็ไม่ยอมแพ้ก้มหน้าเดินผ่านหุบเข้านั้นไป
เมื่อเขาผ่านหุบเข้ามาได้ เขาก็ได้พบกับกลุ่มผีเสื้อสีขาวที่ทำให้ความทรงจำของ ชายหนุ่มหายไป
รวมถึงเส้นทางที่จะไปก็หายไปด้วยเช่นกัน เมื่อเขาเดินเข้าป่าลึกเข้าก็ได้พบดอกไม้หิมะสีขาวที ่เบ่งบาน
เต็มที่แล้วพร้อมกับเจ้าหญิงหิมะ แต่เมื่อชายหนุ่มไม่สามารถรักษาสัญญานั้นได้ เจ้าหญิงหิมะจึงไม่สามารถ
กลับไปที่โลกมนุษย์ได้อีก...

อันดับ 5 Goatman

โกทแมนหรือมนุษย์แพะ สิ่งมีชีวิตลึกลับที่น้อยคนนักจะรู้จัก คนส่วนใหญ่มักจะไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ ถ้าไม่ใช่คอเรื่องลึกลับสากล โกทแมนเป็นสิ่งมีชีวิตลูกผสมระหว่างมนุษย์กับแพะลึกลับที่โด่งดังมากในเขต เมือง Prince George รัฐ แมรีแลนด์ การพบเห็นครั้งแรกเริ่มต้นขึ้นในปี 1957 ทาง ตอนบนของเมือง Marlboro และเมือง Forestville

รูปพรรณสันฐานที่พบผู้พบเห็นบรรยาย ท่อนล่างของร่างกายขาและเท้ามีกีบเหมือนแพะ ท่อนบนของร่างกายเป็นมนุษย์ ศีรษะมีเขาแพะ ผิวหนังบนร่างกายปกคลุมไปด้วยขน สูงประมาณสองเมตร หนักกว่า 130 กิโลกรัม รูปพรรณสันฐานที่กล่าวมาอาจฟังดูคล้ายกับสิ่งมีชีวิตในเทพนิยายตัว หนึ่ง

จากรายงานของบุคคลที่พบเห็นกล่าวว่าโกทแมนมีเสียงร้องแหลม และการตายของสัตว์เลี้ยงมักถูกเชื่อมโยงเข้ากับการปรากฏตัวของโกทแมน มีผู้พบเห็นศพของสัตว์ที่ตายอย่างโหดเ***้ยมบ่อยครั้งในเขตพื้นที่ ที่พบเห็นโกทแมน ครึ่งหนึ่งของศพสัตว์ที่ตายถูกนำไป คาดว่าโกทแมนน่าจะฆ่าสัตว์เหล่านี้เพื่อนำไปเป็นอาหาร มีเหตุการณ์หนึ่งในรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริการายงานว่า มีกลุ่มเด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งถูกเจ้าโกทแมนวิ่งไล่และเขวี้ยงซากยางรถยนต์ เข้าใส่ และมีเหตุการณ์การใช้อาวุธที่เกิดขึ้นในรัฐแมรีแลนด์ที่เจ้าโกทแมน ไปอาละวาดเอาขวานจามรถยนต์หลายคันในเวลาไร่เรี่ยกันและมักทำร้ายสัตว์เลี้ยง ของผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น
แสดงว่าเจ้าโกทแมนนั้นมีสมอง??

หลายคนเชื่อว่าโกทแมนน่าจะเป็นญาติห่างๆกับบิ๊กฟุต หรือมีความได้โกทแมน เกิดขึ้นจากการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ในการตัดต่อพันธุกรรมของคนและแพะเข้า ด้วยกันโดยศูนย์ค้นคว้าและวิจัย beltsville แห่งเมือง prince george อันเป็นแหล่งกำเนิดของตำนานโกทแมน แต่อย่างไรก็ตาม ตามแบบฉบับสิ่งมีชีวิตลึกลับมักจะไม่ค่อยให้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่น่า เชื่อถือซึ่งแสดงถึงการมีตัวตนอยู่จริงของมัน




อันดับ 4 (Dover Demon)


เขาเรียกกันว่า ปีศาจโดเวอร์ (Dover Demon) เพราะมีผู้พบเห็นที่ เมืองโดเวอร์ ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดเป็นอับ 2 รอง จากบอสตัน ใน มลรัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา แต่พบเจอแค่ครั้งเดียวนะ ในปี พ.ศ. 2520 หรือ ค.ศ. 1977 พบครั้งแรกเมื่อเดือน 22 เมษายน ค.ศ. 1977

บิลส์ บาร์ทเล็ทท์, ไมค์ แมซซอคคา และแอนดี้ บรอดี วัยรุ่นอายุราว 17 ปี กำลังขับรถไปทางเหนือของฟาร์มสตรีท ในขณะที่ขับรถอยู่ บาร์ทเล็ทท์ซึ่งเป็นคนขับรถก็ได้เห็นสิ่งประหลาดสิ่งหนึ่งกำลังปีนไปตาม กำแพงเตี้ยๆ ทางด้านซ้ายของถนน

ครั้งแรกที่เห็นบาร์ทเล็ทท์คิดว่าอาจ เป็นสุนัขหรือไม่ก็แมว จนกระทั้งไฟหน้ารถได้ฉายตกกระทบกับร่างลึกลับอย่างจัง สิ่งที่พวกเขาเห็นนั้น เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นก่อนในชีวิต

“ร่างนั้นมันค่อยๆ หมุนศีรษะของมันอย่างช้าๆ และจ้องมองมายังแสงไฟของรถ ตากลมของมันสองประกายราวกับแก้วใส เหมือนหินอ่อนสีส้ม 2 ลูก หัวของมันตั้งอยู่บนคอเล็กๆ มีลักษณะคล้ายแตงโม มองดูแล้วผิดส่วน กล่าวคือแขนและขายาวและผอมเรียว แต่มือและเท้าใหญ่ ผิวไม่มีขนและมีสีลูกพีช และหยาบเหมือนกระดาษทราย

ร่างนั้นมันสูงไม่เกิน 4 ฟุต มีลักษณะคล้ายเด็กทารกที่มีแขนและขายาว มันน่าประหลาดน่าเกลียดน่ากลัวมาก มันเดินไม่รู้จุดมุ่งหมาย มันเดินไปตามกำแพงโดยใช้นิ้วมืออันยาวของมันไต่ตามก้อนหิน…………….”

บาร์ทเล็ทท์เห็นร่างนั้นไม่กี่วินาที เท่านั้นเองเพราะขณะเขาขับรถด้วยความเร็วสูงและอยู่ในทางโค้ง และเมื่อกลับที่เกิดเหตุร่างลึกลับดังกล่าวก็หายไปแล้ว

และเมื่อทั้งสามกลับมาที่พักบาร์ทเล็ทท์ก็เล่า เหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟังพร้อมกับวาดภาพปริศนาคลาสลิกให้เพื่อนดู แต่กระนั้น....จนปัจจุบัน ก็ยังไม่มีใครรู้ว่า เจ้าปีศาจโดเวอร์ ตัวนี้มาจากไหน มาได้ยังไง และมีจุดประสงค์อะไร ? ก็ยังคงเป็นปริศนาที่เล่าขานกัน ในท้องถิ่นต่อไป แต่บางคนเขาก็เชื่อว่าเป็นเพียงเรื่องแหกตา เพราะก็ไม่มีหลักฐานใด ๆ มายืนยันสิ่งที่เด็ก ๆ กลุ่มนี้เจอ และก็ไม่มีรายงานการพบเจอหรือปรากฏตัวอีก


อันดับ 3 The Loveland Lizard
มนุษย์ กบแห่งเลิฟแลนด์(หรือ อาจเรียกว่ามนุษย์สัตว์เลื้อยคลานแห่งเลิฟแลนด์ก็ได้หรืออาจเรียกหลายชื่อ เช่น กิ่งก่า จิ้งจก) รูปร่างคล้ายมนุษย์แต่มีหน้า ขนาดใหญ่คล้ายกบ มีรายงานการพบเห็นในเลิฟแลนด์, และ เมืองโอไฮโอ(Ohio) ประเทศสหรัฐอเมริกา มีข่าวลือและรายงานกำลังเกี่ยวกับตัวมันมากมาย แต่ก็ยังไม่สามารถยืนยันการพิสูจน์ความเป็นจริงได้มันคือตัวอะไรกันแน่ โดยรูปร่างเด่นๆ เท่าที่ประมวลจากคำบอกเล่าคร่าวๆ ก็มีดังต่อไปนี้

“มัน สูงประมาณ 3 หรือ 4 ฟุต, หนัก 50 ถึง 75 ปอนด์, หลังของมันมีผิวขรุขะ, ผิวหนังเปียกลื่น, เป็นไปได้ว่าหางมันจะสั้น, หัวและ หน้าเหมือนกบ หรือสัตว์เลื้อยคลานจำพวกกิ่งก่าหรือจิ้งจก

รายงานปรากฏตัวครั้งแรก เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 มีนาคม1972 เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังการแล่น เรือตระเวณบนริมฝังแม่น้ำไมแอมอิแม่น้ำในเลิฟแลนด์, เมือง โอไฮโอ ทันใดนั้นพวกเขาก็พบสิ่งผิดปกติบนถนน ตอนแรกสิ่งที่พวกเขาพบเห็นมันน่าจะเป็นสุนัขมากกว่าแต่เมื่อดูใกล้ๆ กลับไม่ใช้อย่างที่พวกเขาคิด พวกเขาลดความเร็วของเรือ และเข้ามาดูสัตว์ตัวนั้นอย่างใกล้ๆ และช้าๆ แต่แล้วเจ้าสัตว์ตัวนั้นก็ลุกขึ้นมันวิ่งมุ่งไปทางทิศทางที่พวกเขาอยู่ แม้ตอนนั้นบนถนนเต็มไปด้วยน้ำแข็งแต่ความเร็วของมันไม่ลดลงเลยและไม่ลื่นหก ล้มด้วย แสดงให้เห็นว่ามันมีความสมดุลสูงสามารถยืนอยู่บนก้อนน้ำแข็งได้สบาย

จาก นั้นเจ้าสัตว์ตัวนั้นก็เข้ามาใกล้เรือตำรวจสองนายนั้น พวกตำรวจหยุดเรือและแสงไฟสว่างหน้าเรือก็ส่องไปที่สัตว์ตัวนั้นและพวกเขา ต้องตะลึงกับสิ่งที่อยู่ข้างหน้า มันเป็นสัตว์ที่พวกขาไม่เคยพบมาก่อนรูปร่างเหมือนครึ่งคนครึ่งสัตว์หัวเป็น สัตว์ประหลาดที่ออกไปทางจิ้งจกหรือสัตว์เลื่อยคลาน แต่ไม่ทันทีเห็นอะไรมากกว่านี้ พวกเขาก็ชักปืนเพื่อยิงมัน มันเลยตกใจและก็หนีไปเข้าพุ่มไม้อย่างรวดเร็ว และก็หายไปในความมืด ภายหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายยืนยันชัดเจนว่าสามารถสิ่งที่เห็นมันไม่มี สุนัข มันเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถอธิบายมันคือตัวอะไรกันแน่

อันดับ 2 ต้นไม้กินคน (Man-eating tree)
(รูปต้นไม้กินคน Ya-te-veo ("I see you") ในความเชื่อของอเมริกากลาง จาก Land and Sea โดย J.W. Buel 1887 )

เรื่อง ของต้นไม้กินคนที่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายนั้นมีที่มาจากข่าว เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 19 ปี 1881 คาร์ล ลิช (Carl Liche) นักเดินทางชาวเยอมันได้เขียนจดหมายถึงหนังสือพิมพ์ South Australian Register เขาเล่าเรื่องเหลือเชื่อ ที่เขาท่องเที่ยวบนเกาะมาดากัสคาร์และได้พบการสังเวยมนุษย์ของเผ่าฮึมโกโด(Mkodo) ชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในถ้ำ คนพวกนี้เป็นชนเผ่าล้าหลังที่ยังเปลือยกายอยู่ พวกเขาชวนคาร์กร่วมพิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นก็พากันเดินเข้าไปในป่าทึบแล้วไปหยุดตรงที่โล่งตรงคุ้มลำธาร ที่นั้นมีต้นไม้ประหลาดขึ้นต้นหนึ่ง ซึ่งพวกฮึมโดโดเรียกมันว่า เตเป (Tepe)

คาร์ล ลิช ได้พรรณนารูปร่างลักษณะที่พิลึกพิลั่นของมันว่า

“ลองนึกภาพสับประรดสูงแปดฟุตและ ใหญ่ตามสัดส่วน แต่เป็นสีน้ำตาลเข้ม ดูแล้วแข็งเหมือนเหล็ก ใบแปดใบย้อยลงมาจากลำต้น แต่ละใบยาวราวสิบเอ็ดฟุต และเรียวจนแหลม ใบสีเขียวคล้ำเหี่ยวห้อยและเหนียวมากเหมือนเสี้ยนโอ๊ก มีของเหลวใสรสหวานดื่มแล้วทำให้เมามายซึมออกมาที่แอ่งกลางยอดมีมือพัน ยาวแปดฟุตสีเขียว มีขนยาวออกมาทุกทิศทุกทาง มีรยางค์สีขาวเกือบใสหกใบชูสูงขึ้นไปในอากาศ หมุนและบิดไปมาไม่หยุดนิ่ง แต่ก็ยังชูตั้งอยู่อย่างนั้น มันสูงห้าหกฟุต บางขนาดใบกก และอ่อนเหมือนขนนก.............”

“การเฝ้าของข้าพเจ้าถูกขัดจังหวะ ลงด้วยพวกพื้นเมืองที่เดินส่งเสียงไปรอบๆ ต้นไม้ด้วยน้ำเสียโหยหวน เขาท่องมนต์ที่ล่ามของข้าพเจ้าบอกว่าเพื่อขอลุแก่โทษปีศาจที่ยิ่งใหญ่ประจำ ต้นไม้ ขณะที่ยังคงกรีดร้องและท่องมนต์กระชั้นขึ้นนี้ พวกเขาก็ล้อมหญิงสาวคนหนึ่งใช้หลาวแหลมๆ จี้เธอ เธอไต่ขึ้นไปตามลำต้นอย่างช้าๆ สีหน้าหมดหวังและขึ้นไปยืนอยู่บนปลายยอด ซิก! ซิก! (ดื่ม! ดื่ม!) เสียงคนร้องตะโกณบอก เธอก้มลงดื่มน้ำเหนียวข้นในเบ้าแล้วยืนขึ้นใหม่ด้วยใบหน้าบ้าคลั่งและแขน สั่นระริก เธอทำเหมือนกระโดดลงมา แต่มิได้กระโดด

ต้นไม้กินคนที่เห็นนิ่งเฉยและดูเหมือนตายกลับมีชีวิตขึ้นมาอีก ครั้ง รยางค์ที่เรียวและบอบบางของมันสั่งระริกดั่งความโกรธเกรี้ยวของอสรพิษที่ กำลังหิวกระหายอยู่เหนือตัวของเธอ แล้วเหมือนด้วยสัญชาตญาณของปีศาจ มันมัดเธอด้วยการรัดรอบคอและแขนรอบแล้วรอบเล่า ขณะเดียวกันเสียงเกลียดร้องด้วยความหวาดกลัวของเธอก็ค่อยแผ่วลง กลายเป็นเสียงครางอึกๆ อักๆ มือพันที่ดูเหมือนงูสีเขียวตัวใหญ่พากันชูขึ้นและหดตัวรัดรอบเธอวงแล้ววง เล่า รัดแน่นๆ เข้าอย่างรวดเร็วและเหนียวแน่นเหมือนงูอนาคอนดารัดเหยื่อไม่มีผิด

แล้ว ตอนนี้ใบใหญ่ๆ ของมันก็ค่อยๆ ยกขึ้นช้าๆ และแข็งขึ้น เหมือนแขนของปั่นจั่นยกตัวเองขึ้นบนอากาศ ขึ้นไปหาใบอื่นและปิดหุ้มรัดเหยื่อที่ตายแล้วด้วยพลังอันเงียบเชียบ เห็นโคนของใบไม้เหล่านี้เบียดเข้าหากันแน่นๆ เข้า มีของเหลวคล้ายน้ำผึ้งผสมเลือดไหลออกมาตามลำต้น พอเห็นดังนี้พวกคนป่ารอบๆ ตัวข้าพเจ้าก็ไชโยโห่ร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง วิ่งเข้าห้อมล้อมต้นไม้ ใช้ใบไม้ ใช้มือรองของเหลวมาดื่ม บ้างก็ใช้ลิ้นเลียจนมึนเมา จากนั้นก็มีพิธีกรรมที่อุจาดตามมาอีกจนไม่สามารถบรรยายได้ตามมา

ใบไม้ของ ต้นไม้ใหญ่คงอยู่ตำแหน่งตั้งขึ้นข้างบนแบบนั้นอยู่สิบวัน เมื่อข้าพเจ้ากลับมาในเช้าวันหนึ่งมันก็กลับตกลงเหมือนเดิม มือที่พันก็เหยียดยาวอย่างเดิม และนอกจากกะโหลกขาวที่ตกอยู่ที่โคนต้นแล้วก็ไม่มีอะไรอื่นเปลี่ยนแปลง”

จดหมาย ฉบับนี้ถูกส่งในนิตยสารภาษาเยอรมันชื่อ Graefe und Walther เมื่อปี 1878 หลังจากนั้นก็มีผู้แปลลงในหนังสือพิมพ์เมล์ที่ออกที่เมืองมัทราส อินเดีย และลงในหนังสือพิมพ์เวิลด์ ของกรุงนิวยอร์ก และในนิตยสารรียิสเตอร์ของออสเตรเลียเมื่อ ปี 1880 ทำ ให้เรื่องของต้นไม้กินคนกลายเป็นสนใจของสาธารณชน แต่พวกนักพฤษศาสตร์และนักสำรวจหลายคนไม่ยอมรับเรื่องนี้เพราะอ่านแล้วมัน เหมือนนิยายเกินไป อีกทั้งคนชื่อลิชก็เป็นใครก็ไม่รู้ ทำให้เรื่องของต้นไม้กินคนจึงค่อยๆ เงียบหายไป

แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่ยอมเชื่อภาพ ถ่ายเหล่านั้น หาว่าเฮิร์สต์ทำปลอมขึ้นมา เพื่อพิสูจน์ความจริง เฮิร์สต์ได้เดินทางไปที่เกาะมาดากัสคาร์อีกครั้ง แต่ทว่า คราวนี้ เขาไปลับไม่กลับมาอีกเลย ทำให้เรื่องของต้นไม้กินคนยังคงความลึกลับและน่าค้นหาจนถึงปัจจุบัน
อันดับ 1 ชายส้นเท้าสปริง (Spring Heeled Jack)
http://www.youtube.com/watch?v=TlKR97ovmVc
หรือชื่ออื่นๆ also Springheel Jack, Spring-heel Jack ปรากฏ ตัวครั้งแรก 1836-1986 ออกอาละวาดที่ลอนดอน,ลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ

ตอนแรกผม ว่าน่าจะอยู่หมวดฆาตกรต่อเนื่อง แต่ความจริงเจ้าชายส้นเท้าสปริงนี้จัดอยู่ในหมวดสัตว์ลึกลับครับ เนื่องจากมันมีพลังเหนือธรรมชาติที่ดูยังไงก็ไม่น่าเชื่อว่านี้คือความ สามารถของคน แถมรูปร่างของมันดูออกตลกๆ แบบมนุษย์ค้างคาวมากกว่าจะเป็นคนธรรมดามากกว่า แต่ที่ผมเลือกมันก็เพราะมันฆ่าคนด้วยครับ และมีการสืบสวนเกี่ยวกับตัวมันด้วย แถมข้อสันนิษฐานนะครับขอบอกว่าหลุดโลกยิ่งกว่าของแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์เสียอีก ออกจะขำๆ ด้วยซ้ำ

เรื่องของ ชายส้นเท้าสปริงเกิดขึ้นในสมัยวิกเตอเรีย จู่ๆ ก็มีสัตว์ประหลาด(อาจเป็นคนปลอมตัว) ออกอาละวาดไล่ล่าฆ่าคน โดยมันมีความสามารถพิเศษคือ สามารถกระโดดสูงอย่างที่มนุษย์คนไหนสามารถกระโดดได้เหมือนกับว่าร้องเท้าของ มันติดสปริงด้วย(และนี้คือที่มาของชายส้นเท้าสปริง) นอกจากนั้นรูปร่างของมันก็ไม่เหมือนกับคน ซึ่งพยานคนหนึ่งได้เคยเผชิญหน้ากับมันและบรรยายอย่างน่าขนลุกว่า “รูปร่างของมันสูงและผอม หน้าของมันเหมือนภูตผีปีศาจ ที่มือของมันมีอุ้มเล็บยาว ตาเหมือนลูกบอลสีแดงที่ลุกเป็นไฟ ใส่หมวก กางเกงมีสีขาว สวมเสื้อคลุมสีดำชอบปรากฏตัวจะกางผ้าคลุมทำให้เวลาดูราวมันเป็นมนุษย์ค้าง คาวยังไงอย่างงั้น”

นอกจากนั้นยังมีรายงานเวอร์ๆ ออกมาเป็นระลอกที่ส่งเสริมให้ชายส้นเท้าสปริงกลายเป็นสัตว์ประหลาดเข้าไป ใหญ่ เช่น ลมหายใจออกสีน้ำเงินมีฟันแหลมคล้ายแวมไพร์ หูและจมูกแหลม สามารถพ่นเปลวไฟสีขาวออกจากปากได้

โดยช่วงที่มันออกอาละวาดมากที่สุดคือใน ปี ค.ศ. 1837 มีรายงานการพบเห็นเกือบทั่วประเทศอังกฤษ ไล่ตั้งแต่ Sheffield ลิเวอร์พูล จนมาถึงลอนดอนโดยเฉพาะใน prevalent ชานเมืองลอนดอนพบเห็นมันบ่อยสุด นอกจากนั้นยังพบในประเทศอื่นอย่างสก็อตแลนด์อีกด้วย












รายงานแรกการปรากฏตัวของชายส้นเท้าสปริงเริ่มขึ้นเมื่อ นักธุรกิจคนหนึ่งกำลังเดินกลับบ้านในตอนกลางคืนหลังจากกลับจากที่ทำงาน ทันใดนั้นเขาก็พบชายประหลาดคนหนึ่งกำลังก้าวกระโดดอยู่เหนือหัวของเขา ก่อนที่จะหายไปในความมืด ซึ่งรายงานในช่วงนั้นยังไม่มีเหตุชายส้นเท้าสปริงทำร้ายผู้คนแต่อย่างใด จากนั้นไม่รู้ว่าชายส้นเท้าสปริงไปเก็บกดอะไรมาเขาออกอาละวาดฆ่าผู้คนดะทุก ค่ำคืน เหยื่อบางรายโดนมันพ่นไฟใส่หน้าตาย บางรายโดนมันกดแม่น้ำ บางรายถูกผลักตกที่สูง หรือรายช็อตเพราะตกใจตาย จากนั้นมันก็หายไปดื้อๆ เมื่อปี 1986

มี ทฤษฎี,ข้อสันนิษฐานจำนวนมากที่นำอธิบายฆาตกรเหนือธรรมชาติรายนี้ เช่นมันอาจเป็นลิงที่หลุดจากละครสัตว์ นักแสดงชายชราโรคจิต นักมายากล หรือสัตว์ลึกลับ นอกจากนี้บางคดีก็มีคนมาลอกเลียนแบบชายส้นเท้าสปริงอีก แต่สุดท้ายคดีนี้ก็เป็นปริศนาตลอดกาล และกลายเป็นตำนานในเวลาต่อมา โดยชื่อของมันปรากฏอยู่ในนิทาน, นวนิยาย หนัง ชายส้นเท้าสปริงปรากฏในฐานะฮีโร่ปราบปรามผู้ร้าย

เครดิต http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=170160

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น