28 พ.ย. 2553

การ์กอยล์ (Gargoylr)

ครั้งก่อนนู้นนนนนได้นำเสนอเนโกะมาตะไปแล้ววันนี้เรามารู้จักกับการ์กอยล์กัน



เพื่อนๆคงจะรู้จักสัตว์ประหลาด (เอ๊ะ! ไม่ใช่สิ สัตว์ในตำนานต่างหากล่ะ) ตัวนี้กันดีนะคับ ได้ยินชื่อก็ร้อง อ๋อ! กันแล้ว ใบ้ให้ว่าเป็นมังกร แต่เป็นมังกรพ่นน้ำ เอ๊ะ!มันยังไงๆแล้วน๊า มังกรพ่นน้ำเนี่ย! เขามีแต่มังกรพ่นไฟนี่นา คิดออกรึยังคับว่าเป็นตัวอะไร? คิดไม่ออกใช่มั้ยล่ะ เฉลยละกัน มังกรตัวนี้มีชื่อว่า การ์กอยล์ (Gargoyle)

การ์กอยล์ ปัจจุบันอาศัยอยู่ตามโบสถ์ มหาวิหาร อาคารต่างๆของซีกโลกตะวันตก มหาวิหารดังๆที่โลกรู้จักกันก็มี มังกรการ์กอยล์ อาศัยอยู่ เช่น วิหารนอเตรอดาม แห่ง กรุงปารีส (Notre Dame de Paris) มหาวิหารนอเตรอ-ดาม แห่ง ดิฌง (Notre Dame de Dijon) วิหารแห่งชาติ ณ กรุงวอชิงตัน (Washington National Cathedral) 2 แห่งแรกนี่เรียกยาก ผมสะกดผิดก็อย่าว่ากันนะคับ แต่แห่งหลังเนี่ยถูกต้องชัวร์ๆ นับว่าเจ้ารูปสลัก การ์กอยล์ เนี่ย เป็นประติมากรรมที่สวยงามชิ้นเยี่ยมชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว และก็ไม่ได้มีไว้ประดับประดาอาคารเพื่อความสวยงามเท่านั้น ยังสามารถใช้ประโยชน์ได้อีกด้วย นั่นคือ เป็นที่ระบายน้ำฝน ถ้าสังเกตให้ดี จะเห็นว่า รูปสลักหน้าตาประหลาด ๆ เหล่านี้มักมีอากัปกิริยาแตกต่างกันไป แต่จะมีจุดหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นคือ มีช่องทางให้ระบายน้ำได้ ไม่ว่าจะเป็นทางปาก จมูก หู หรือส่วนอื่น ๆ ของรูปสลักเหล่านี้ ซึ่งบางครั้งอาจจะมีรูปร่างพิลึกพิลั่นอยู่บ้าง มากล่าวถึงชื่อที่เรียกว่า การ์กอยล์ กันบ้าง สันนิษฐานว่ามาจากคำว่า ลา การ์กุยย์ (La Gargouille) ในภาษาฝรั่งเศส อันมีรากศัพท์มาจาก เกอร์กูลิโอ (Gurgulio) ในภาษาละติน หมายถึง คอ และ พ้องกับเสียงของน้ำที่ไหลผ่านรางน้ำฝนบนตัวอาคาร

มีตำนานมากมายกล่าวถึงที่มาของชื่อ การ์กอยล์ หรือ ลา การ์กุยย์ นี้ แต่ตำนานเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย คือ ตำนานอันเก่าแก่ของฝรั่งเศส ที่เล่าขานกันว่า ประมาณ ศตวรรษที่ 7 ณ หมู่บ้านรูออง (Rouen) ทางตอนเหนือของประเทศฝรั่งเศส มีมังกรไฟตัวหนึ่งซึ่งมีนิสัยดุร้ายอาศัยอยู่ในถ้ำใกล้ริมแม่น้ำแซน (Seine) เจ้ามังกรตัวนี้ยื่นคำขาดให้ผู้คนในหมู่บ้านส่งหญิงพรหมจรรย์มาสังเวยมันทุกปี (ว๊าว! ข้อเสนอของมันเล่นซะจนผมยังต้องอิจฉามันเลย หญิงพรหมจรรย์ทุกปี ถ้าเป็นผมนะ จะยื่นขอเสนอใหม่เป็นทุกเดือน รู้สึกจะแสดงอาการออกนอกหน้าเกินไปแล้วเรา) มิฉะนั้นมันจะพ่นไฟให้ทั้งหมู่บ้านจมอยู่ในกองเพลิงภายในพริบตา ด้วยความกลัว ชาวบ้านจึงจำต้องส่งหญิงสาวไปให้มันทุกปี หากปีใดไม่สามารถหาสาวบริสุทธ์ได้ก็จำต้องส่งนักโทษไปแทน แน่นอนว่าเจ้ามังกรตัวนี้ไม่พอใจอย่างยิ่ง (เป็นผมผมก็ไม่พอใจ จากหญิงสาวพรหมจรรย์เปลี่ยนไปเป็นนักโทษ คนละขั้วกันเลย) ดังนั้นมันจะมาบินวนรอบ ๆ หมู่บ้านพร้อมกับพ่นไฟและ ส่งเสียงขู่คำรามในลำคอ อันเป็นเหตุให้ชาวบ้านเรียกเจ้ามังกรตัวนี้ว่า ลา การ์กุยย์ ชาวบ้านรูอองต้องหวาดกลัวเจ้ามังกรพ่นไปตัวนี้เป็นเวลานาน
จนกระทั่งวันหนึ่ง นักบวช แซงต์ รูมานีส์ (Saint Romanis) (ไม่ใช่อัศวินขี่ม้าขาวหรอกหรือ? แต่เป็นนักบวช) ได้มาเดินทางเยือนหมู่บ้านแห่งนี้ เมื่อได้รับรู้ชะตากรรมของชาวบ้าน ท่านก็เสนอตัวเข้าช่วยเหลือ โดยมีข้อแม้ว่า หากท่านปราบมังกรตัวนี้ได้ ชาวบ้านจะต้องสร้างโบสถ์ให้ท่านหนึ่งหลัง ซึ่งชาวบ้านก็ตกลงรับเงื่อนไขนี้โดยดี (โบสถ์หนึ่งหลังแลกกับไปฆ่ามังกร คุ้มคับคุ้ม) ท่านนักบวชได้เดินทางไปยังถ้ำมังกรโดยไม่มีอาวุธใด ๆ นอกจากไม้กางเขนและศรัทธาต่อ พระเจ้าเท่านั้น แต่กระนั้น ท่านก็สามารถสยบเจ้ามังกรร้ายตัวนี้ได้ และนำมันกลับมายังหมู่บ้าน ชาวบ้าน รูอองรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่พวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขเสียที หลังจากต้องหวาดกลัวมังกรร้ายมาตลอดเวลา

ดังนั้นเพื่อให้แน่ใจว่ามังกรไฟ ลา การ์กุยย์ นี้จะไม่สามารถกลับมาทำร้ายใครได้อีก ชาวบ้านจึงจับมังกรนี้มัดและเผามันทั้งเป็น แต่เนื่องจากเจ้า ลา การ์กุยย์ เป็นมังกรพ่นไฟ เพลิงจึงเผาผลาญทุกส่วนของมัน ยกเว้น หัวและคอ ซึ่งไม่ว่าใช้วิธีใดก็ไม่สามารถทำลายมันได้ ดังนั้น เมื่อชาวบ้านสร้างโบสถ์ให้นักบวช แซงต์ รูมานีส์ ตามสัญญา นักบวชเลยแนะนำให้เอาหัวมังกรไปประดับไว้กับตัวโบสถ์เพราะเจ้ามังกรตัวนี้มีอำนาจศักด์สิทธิ์ ดังนั้นมันจะสามารถขับไล่มิให้ภูติผีปีศาจหรือสิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ เข้ามาใน ตัวโบสถ์ได้ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การนำเอารูปสลักสัตว์หน้าตาประหลาดต่าง ๆ มาประดับโบสถ์วิหารก็กลายเป็นประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา ในยุโรปและเมื่อชาวยุโรปได้อพยพไปตั้งถิ่นฐานในสหรัฐอเมริกา ก็ได้นำประติมากรรมประหลาดนี้ไปด้วย ดังนั้น ตามวิหารหรืออาคารจำนวนไม่น้อยในสหรัฐอเมริกาจึงประดับด้วยรูปสลักการ์กอยล์นี้เช่นกัน หากว่าใครแวะไปเที่ยวที่มหาวิหารที่ผมกล่าวมาเนี่ย ก็แวะไปเยี่ยมเยียน เจ้ามังกรการ์กอยล์กันบ้าง

เครดิต http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=178884
อันดับที่ 10 Nemesis @ Alton Tower, Staffordshire UK
รถไฟเหาะแบบห้อยขาที่มีความเร็วถึง 50 ไมล์ต่อชั่วโมง พาคุณหมุน 4 รอบ ภายในเวลา 1 นาทีครึ่ง ให้คุณได้สัมผัสประสบการณ์แรงถึง 4G เจ้านี่มีความยาวทั้งสิ้น 2,349 ฟุต



อันดับที่ 9 Titan @ Six Flags Over Texas, Arlington USA
เจ้ารถไฟเหาะลำนี้จะปล่อยจากความสูง 255 ฟุต เลี้ยวและหมุนไปมาจนเกิดแรงจีมากถึง 4.5G และยังทำให้เกิด negativeG ที่ทำให้ตัวหวิวอีกด้วย ความเร็วสูงสุด 85 ไมล์ต่อชั่วโมง ระยะทางยาวกว่า 5,280 ฟุต


อันดับที่ 8 Dragon Khan @ Port Aventura Theme Park, Spain
Dragon Khan จะพาคุณไปปล่อยที่ความสูง 161 ฟุต และหมุนให้คุณหัวใจเต้นตุบตับอีกซัก 8 รอบ ด้วยความเร็ว 65 ไมล์ต่อชั่วโมง รถไฟเหาะลำนี้ได้รับคำชมว่า ค่อนข้างสมูท และเคยได้บันทึกสถิติเกี่ยวกับการหมุนควงอยู่หลายปี

อันดับที่ 7 Goliath @ Six Flags Magic Mountain, Los Angeles USA
หากยังไม่สะใจกับ 3 อันดับก่อนหน้า งั้นเจอเจ้านี่ Goliath รถไฟเหาะที่จะปล่อยคุณที่ความสูง 255 ฟุต ด้วยมุมชัน 61 องศา ทำให้ตัวคุณแทบจะลอยหลุดจากเก้าอี้กันเลยทีเดียว แถมด้วยความเร็วสูงสุด 85 ไมล์ต่อชั่วโมง แถมยังเบรคให้ได้หวิวกันอีก มีความยาวทั้งสิ้น 4500 ฟุต



อันดับที่ 6 Thunder Dolphin @ Laqua, Tokyo Dome City Japan
มีแต่ฝั่งตะวันออก เอเชียเราก็มีดีไม่แพ้กัน นั่นคือ Thunder Dolphin เป็นรถไฟเหาะที่ปล่อยด้วยความสูง 218 ฟุต เลี้ยววงแคบ 80 องศา ความเร็วสูงสุด 80 ไมล์ต่อชั่วโมง มีความยาวทั้งสิ้น 3,500 ฟุต ใครที่ชอบความเสียว ไปญี่ปุ่นต้องไม่พลาด



อันดับที่ 5 Dodonpa @ Fuji-Q Highland, Mt.Fujiyama Japan
ยังอยู่กันที่ญี่ปุ่น บริเวณใกล้ๆกับภูเขาไฟฟูจิ มีสวนสนุกชื่อดัง และเครื่องเล่นหนึ่งในนั้นคือเจ้า Dodonpa เป็นรถไฟเหาะที่มีความเร่งสูงที่สุดของโลก ด้วยความเร็ว 107 ไมล์ต่อชั่วโมงภายใน 2 วินาที ยังไม่พอ ยังส่งขึ้นไปด้วยความชัน 90 องศา และลงมาด้วยความชันอีก 90 องศา

อันดับที่ 4 Top Thrill Dragster @ Cedar Point, Sandusky Ohio USA
สวนสนุกที่ได้ชื่อว่าเป็นอันดับ 1 ของโลก ได้รางวัล Best Amusement Park 11 ปีซ้อน ที่นี่มีรถไฟเหาะถึง 17 ขบวน หนึ่งในนั้นคือ Top Thrill Dragster เจ้านี่จะยิงคุณด้วยความเร็ว 120 ไมล์ต่อชั่วโมง ขึ้นไปที่ความสูง 420 ฟุต แล้วควงกลับลงมา เหตุการณ์ทั้งหมดใช้เวลาเพียง 10 วินาทีเท่านั้น

อันดับที่ 3 Millenium Force @ Cedar Point, Sandusky Ohio USA
ยังอยู่กันที่ Cedar Point ที่เดิม คราวนี้เป็นรถไฟเหาะที่จะปล่อยเราที่ความสูงถึง 310 ฟุต (เป็นรถไฟเหาะลำแรกที่สร้างสูงกว่า 300 ฟุต) ปล่อยคุณลงด้วยความชัน 80 องศา ความเร็วสูงสุดกว่า 92 ไมล์ต่อชั่วโมง เป็นรถไฟเหาะที่มีความยาวมากถึง 6,595 ฟุต

อันดับที่ 2 Steel Dragon 2000 @ Nagashima Spa Land Amusement Park, Mie Prefecture Japan
รถไฟเหาะนี้คล้ายกับ Millenium Force มาก แต่ยาวกว่า สูงกว่า และเร็วกว่านิดเดียวเท่านั้น ด้วยระยะทาง 8,133 ฟุต ทำให้มันเป็นรถไฟเหาะที่ยาวที่สุดในโลก ด้วยความสูง 318.25 ฟุต และความเร็ว 95 ไมล์ต่อชั่วโมง
TOP 1 ที่ 1 ของที่ 1

อันดับที่ 1 !!!!! Kingda Ka @ Six Flags Great Adventure, New Jersey USA
รถไฟเหาะขบวนนี้เปิดตัวในปี 2005 เป็นรถไฟเหาะที่สูงที่สุดและเร็วที่สุดในโลก เบียดแซงอันดับที่ 4 ไปด้วยความสูง 456 ฟุต ด้วยความเร็ว 128 ไมล์ต่อชั่วโมง (ราวๆ 206 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ในเวลาเพียง 3.5 วินาทีเท่านั้น





นั่งทีนี่หัวใจวายตายเลยแรงแค่2Gก็จะอ้วกแล้ว


เครดิต  http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=178616

27 พ.ย. 2553

10 อันดับราชวงศ์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก....

นิตยสารฟอร์บ เสนอบทความราชวงศ์ที่รวยที่สุดในโลก เมื่อวันที่ 20 ส.ค. 2551 ที่ผ่านมา

ฟอร์บระบุว่า การประเมินทรัพย์สินของราชวงศ์นั้นต้องใช้ทั้ง ศาสตร์และศิลป์ประกอบกันไป เนื่องด้วย
ความสัมพันธ์ระหว่างความมั่งคั่งของบุคคลกับรัฐนั้นมีลักษณะเฉพาะของแตกต่างกันไป จากรายงาน
ของฟอร์บส์นั้น พบว่าพระมหากษัตริย์หลายพระองค์มีพระราชทรัพย์ลดลง เนื่องจากผลกระทบที่ต่างๆ
กันไป

ฟอร์บระบุว่าได้ติดตามสถานะของราชวงศ์ระดับแนวหน้าจำนวนหนึ่งมาหลายปี แต่การนำเสนอผ่าน
บทความดังกล่าวเป็นเพียงครั้งที่ 2 ที่เผยแพร่ทำเนียบราชวงศ์ที่ร่ำรวยที่สุดอย่างละเอียด แต่สถาบัน
กษัตริย์ของประเทศอย่างสเปนและญี่ปุ่นกลับพลาดที่จะเข้าร่วมการจัดอันดับไปอย่างน่าเสียดาย

ลำดับที่ 10. Sultan Qaboos bin said of Oman



มีพระราชทรัพย์สุทธิ 1พันล้านเหรียญสหรัฐฯ สุลต่านกาบุส ทรงขึ้นครองราชเมื่อปี1970 หลังสิ้นสุดอำนาจของผู้เป็นพ่อ สุลต่านกาบุสได้
ทรัพย์สินจากการส่งออกน้ำมัน ปัจจุบันพระองค์ได้หันมาทำธุรกิจการท่องเที่ยวของประเทศ

ลำดับที่ 9. Princes Albert II of Monaco



เจ้าชายอัลเบิร์ตที่ 2 แห่งโมนาโก เป็นกษัตริย์พระองค์เดียวที่ยังไม่อภิเษกสมรส และถูกร่ำลือว่าทรงส่งแฟนสาวของพระองค์เข้าเรียน
คอร์สติวเข้มภาษาฝรั่งเศส พระองค์มีพระราชทรัพย์ประมาณ 1.4 พันล้านเหรียญฯ ประกอบไปด้วยอสังหาริมทรัพย์ และหุ้นส่วนกิจการ
คาสิโนในโมนาโก พร้อมทั้งทรงวางแผนที่จะขยายพื้นที่ของประเทศ (ซึ่งมีขนาดเท่ากับ Central Park ในนิวยอร์ก) โดยการสร้างเขต
ปกครองใหม่ในทะเลซึ่งจะตั้งอยู่บนเสาขนาดมหึมา โครงการดังกล่าวนี้สร้างความวิตกกังวลแก่นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอยู่พอสมควร


ลำดับที่ 8. King Mohammed VI of Morocco



กษัตริย์โมฮัมหมัดที่ 6 แห่งประเทศโมร็อกโก ขณะนี้มีทรัพย์สินรวม 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงจากปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 2 พันล้านเหรียญฯ
เนื่องจากภัยแล้งที่รุนแรงส่งผลให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศชะลออยู่ที่ระดับ 2 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งได้มาจากการทำเหมืองแร่
ฟอสเฟต, เกษตรกรรมและทรงร่วมหุ้นกับบริษัทMorocco's largest public company, o­nA.

ลำดับที่ 7. Sheikh Hamad bin Khalifa Al Thani of Qatar



ชีค ฮาหมัด บิน คาลิฟา อัล ธานี่ มีทรัพย์สินโดยประมาณรวม 3พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ข้อมูลหาได้เท่านี้ครับ)

ลำดับที่ 6. Prince Hans-Adam II von und zu Liechtenstein of Liechtenstein



เจ้าชายฮันส์ อาดัมที่ 2 แห่งลิกเตนสไตน์ มีพระราชทรัพย์ทรัพย์ประมาณการ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยที่ LGT Bank ซึ่งเป็นแหล่ง
ทุนหลักของพระองค์ (บริหารโดยราชวงศ์มากว่า 70 ปี)ตกเป็นเป้าในคดีหลีกเลี่ยงภาษีอันอื้อฉาว ซึ่งบริษัทของพระองค์ถูกกล่าวหาว่า
ช่วยเหลือลูกค้าฐานะดีหลายรายในการ “ซุกซ่อน” ทรัพย์สิน จากการสืบสวนของวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ พบว่าพระอนุชาของพระองค์
(เจ้าชายฟิลิป) มีส่วนเกี่ยวข้องในการนี้ในฐานะที่ดำรงตำแหน่งประธานของ LGT

ลำดับที่ 5. Sheikh Mohammed bin Rashid Al Maktoum of Dubai



ชีค โมฮัมหมัด บิน ราชิด อัล มาคทูม แห่งดูไบ ทรงมีพระราชทรัพย์สุทธิ 18 พันล้านเหรียญฯ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Dubai Holding ซึ่งมี
การลงทุนใหญ่ๆ ในหลายบริษัท เช่น โซนี่ และบริษัทผลิตอาวุธ EADS และเมื่อเร็วๆ นี้กองทุนรวมเพื่อการลงทุนของชีคพระองค์นี้ได้ใช้
เงิน 5 พันล้านเหรียญฯ เพื่อถือหุ้นในบริษัท MGM Mirage และ 825 ล้านเหรียญฯ เพื่อซื้อกิจการค้าปลีก Barneys New York และทรง
เข้ามาซื้อหุ้นใหญ่สุดของสโมสรในอังกฤษอีกด้วย

ลำดับที่ 4. Sultan Haji Hassanal Bolkiah of Brunei

สุลต่านแห่งบรูไน ซึ่งเป็นกษัตริย์จากเอเชียจากสองประเทศที่เข้าทำเนียบราชวงศ์ที่รำรวยของฟอร์บ ราชทรัพย์ของสุลต่านแห่งบรูไน
(ทรัพย์สิน 20 พันล้านเหรียญฯ) ลดลงจากปีที่ผ่านมาเนื่องจากต้องลดอัตราการผลิตน้ำมันเนื่องจากปริมาณสำรองน้ำมันในประเทศบรูไน
ลดลง โดยฟอร์บระว่า กิจการน้ำมันนั้นเป็นมรดกตกทอดของราชวงศ์บรูไนซึ่งเป็นราชวงศ์มุสลิมซึ่งมีอายุกว่า 600 ปี


ลำดับที่ 3. King Abdullah bin Abdul Aziz of Saudi Arabia



กษัตริย์อับดุลลาห์ บิน อับดุล อาซิซ แห่งซาอุฯ ทรงมีทรัพย์สินประมาณการที่21.5 พันล้านเหรียญฯ รายได้มหาศาลของพระองค์ได้มา
จากอุตสาหกรรมน้ำมันที่ซาอุดีอาระเบีย มีสัดส่วนการผลิตถึง 25 % ของแหล่งน้ำมันทั่วโลก และธุรกิจการบินของสายการบินซาอุดี
อาระเบียนส์ แอร์ไลน์ แต่อย่างไรก็ตามมีการคาดการณ์กันว่าแหล่งน้ำมันของซาอุดีอาระเบีย จะหมดลงในปีค.ศ.2040 หรืออีกใน 32 ปี
ข้างหน้านี้

ลำดับที่ 2.Sheikh Khalifa bin Zayed Al Nahyan of the United Arab Emirates



ชีค คาลิฟา บิน ซาเยด อัล นาห์ยาน แห่งอาบูดาบี (สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) มีพระราชทรัพย์ประมาณ 23 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ทั้งนี้ ความ
มั่งคั่ง ของพระองค์เกิดจากการที่เมืองอาบูดาบีเป็นเมืองที่มีแหล่งน้ำมันสำรองคิด เป็น 95 เปอร์เซ็นต์ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ นอกจากนั้น
อาบูดาบียังมีชื่อเสียงเนื่องมาจากการลงทุนระดับแนวหน้าโดยบรรษัทที่รัฐเป็นเจ้าของนั่นคือเงินลงทุน 7.5 พันล้านเหรียญฯ ในบริษัท
Citibank


ลำดับที่ 1.King Bhumibol Adulyadej of Thailand



พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชแห่งราชอาณาจักรไทย ทรงอยู่ในลำดับสูงสุดของทำเนียบราชวงศ์ที่รวยที่สุดในโลกในปีนี้
โดยมีพระราชทรัพย์ประมาณการได้ล่าสุดกว่า 35 พันล้านเหรียญฯ (1.19 ล้านล้านบาท ตามอัตราแลกเปลี่ยน 1 บาท: 34 ดอลลาร์) โดย
พระราชทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นนี้สืบเนื่องจากความโปร่งใสที่เพิ่มขึ้นของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นั่นเอง


เครดิต http://blog.eduzones.com/rangsit/14733#post
             http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=151793

ของปลอมจากจีน...ที่ทุกคนควรรู้ไว้

รวมของปลอม..จากจีน!!~ มันคิดได้ยังไง

KFG เออ...ปลอม!!~


รองเท้าแตะ...ปลอม!!~


อันนี้ก็...ปลอม!!~


นม.ปลอม!!~..มีตัวไร ไม่รู้ในนั้นด้วย อี๋..


ดูมันช่างกล้า .ปลอม!!~
[img] [/img]

.ปลอม!!~


มือถือ...ปลอม!!~


สาหร่ายจาก ถุงขยะดำ..รีไซเคิลล!!~ปลอม!!~


ถ้าอนามัย จากสำลีใช้แล้ว..ปลอม!!~


หน่อไม้จาก ตะเกียบ...อ๊ากหน่อไม้ยังปลอม!!~


ไข่ปลอม!!~


ยางรัดผม จากถุงยางที่ใช้แล้ว..!!~


ซอส..ปลอม!!~

ซอสปลอมที่ว่านี้ทำมาจากเส้นผม นอกจากเส้นผมแล้ว ขนรักแร้ ขนหน้าแข้ง ขนอะไรก็ตามในร่างกายสามารถนำมาทำได้ทั้งนั้น
เพราะในเส้นขนมีสารประกอบของโปร***รวมอยู่เยอะ ที่สำคัญ ถั่วเหลืองแพงด้วย(ประมาณว่าเป็นวัสดุทดแทนแต่คุณค่าทางอาหารใกล้เคียง กัน -_-)
ผู้สื่อข่าวจาก CCTV ของจีนได้แฝงตัวเข้าไปทำข่าวในโรงงานผลิตซอสชื่อ Hongshuai ตั้งอยู่ที่มณฑลหูเป่ย
วิธี การผลิตของเค้า คือ ไปเก็บเส้นผมมาจากที่ต่างๆเช่น ร้านตัดผม ถังขยะโรงพยาบาล โดยเฉพาะในโรงพยาบาลถือเป็นแหล่งใหญ่ในการหาเส้นผมเล ย
เพราะมีคนไข้มากมายที่มารักษาแล้วต้องโกนหัว ก่อนรักษา เช่น คนเจ็บที่หัวแบะมาก็ต้องโกนหัวก่อนรักษา
เมื่อเก็บมาได้แล้วก็คัดแยก ขยะอื่นๆ ที่ปนมาทิ้งไป เช่น ผ้าพันแผล พลาสเตอร์ สำลี เข็มฉีดยา ผ้าอนามัย และขยะอื่นๆ อีกมากมาย
พอคัดแยกเสร็จก็เอาเส้นผมมาทำความสะอาดตัดเป็นชิ้นเล ็กๆ แล้วเอามาทำเป็นน้ำเชื่อมกรดอะมิโนเพื่อไปหมักทำซอสต่อไป



ชีวิตนี้จะไม่ไปจีน


เครดิต http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=178981

25 พ.ย. 2553

10อันดับอีกแล้ว....ดอกไม้ที่ร้ายที่สุดมั้งน่ะ

10อันดับดอกไม้ที่ร้ายแรงที่สุดในโลก

อันดับ 10 Narcissus
ดอกนาร์ซิสซัสนี้ ว่ากันว่า มีพิษร้ายแรงมากมาย
มีหลายคนที่สับสนแยกไม่ออกระหว่างดอกไม้นี้กับหัวหอม
แต่ถ้ากินเข้าไปแล้วล่ะก็ เจอดีแน่
ทั้งอาการคลื่นไส้ อาเจียน และท้องร่วงอย่างแรง


อันดับ 9 Rhododendron
เราก็ไม่แน่ใจชื่อภาษาไทยของมันเหมือนกัน
เพราะงั้น เราใช้ชื่อเต็มของมันดีกว่า เกิดอ่านผิดจะแย่ทีเดียว
ต้นไม้นี้มีดอกที่สวย รูปทรงเหมือนกระดิ่ง และจะงอกงามมากในฤดูใบไม้ผลิ
แต่ว่าใบของมันมีพิษร้ายเช่นเดียวกับน้ำหวาน
ถ้าเผลอกินเข้าไป อาจทำให้ริมฝีปากไหม้ได้
จากนั้นก็จะคลื่นไส้ อาเจียน หัวใจเต้นเร็ว
ถ้าหากว่าเผลอกินเข้าไป ให้รีบดื่มน้ำตามมากๆ จะช่วยได้


อันดับ 8 Ficus
ไฟคัส ต้นไม้เล็กๆ ที่มีใบเล็ก และมียางที่มีพิษเหลือร้าย
มันสามารถเติบโตได้หลากหลายที่ แม้แต่ในหม้อเก่าๆก็โตได้
ถ้าหากว่ายางของมันโดนผิวเข้าล่ะก็ จะเจ็บปวดมากทีเดียว
และต้องไปหาหมอเพื่อขอยาทาแก้ปวดแสบปวดร้อน


อันดับ 7 Oleander
ทุกส่วนของต้นไม้นี้เป็นพิษหมด
แค่เผลอสูดควันที่เราเผามันเข้าไป ก็เจออันตรายแล้ว
ถ้าเผลอกินเข้าไปล่ะก็ จะเป็นอันตรายต่อหัวใจและระดับโพแทสเซียมในร่างกายได้


อันดับ 6 Chrysanthemu
โอ้! ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ดอกเบญจมาศจะติดอันดับกับเขาด้วย
แต่ว่าดอไม้นี้มีมากกว่า 200 ชนิดในสปีชี่ส์เดียว
เพราะงั้นก็ไม่แปลกที่บางชนิดจะมีพิษร้าย
ถ้าอยากรู้ว่าดอกเบญจมาศชนิดไหนมีพิษ
เค้าว่าให้ดูที่กระต่าย เพราะมันจะไม่กล้าเข้ามากิน
แต่ถ้าโดนเข้าไป อาจจะทำให้ผิวหนังไหม้ และต้องหายาทา


อันดับ 5 Anthurium
ถ้าหากว่า เผลอแตะโดนบริเวณไหนของผิวหนังล่ะก็ เสร็จแน่
ดอกไม้นี้ จะทำให้ร่างกายของคุณไหม้
ยิ่งถ้าโดนปากนี่ แย่ที่สุดเลย
หรือถ้ากินเข้าไปนี่ จะทำให้เสียงแหบเสียงแห้ง พูดไม่ได้ยินไปสักพักเลยล่ะ


อันดับ 4 Lily-of-the-valley
ว้าว! ชื่อเพราะจังเลย ดอกลิลลี่แห่งหุบเขาเนี่ย
แต่ติดอันดับสี่ได้ เชื่อว่าต้องอันตรายแน่ๆ
เค้าว่า ถ้ากินเข้าไปแล้ว หัวใจจะเต้นแรง คลื่นไส้ อาเจียน
บางคนที่กินมากๆ อาจจะเจอล้างท้องได้นะ


อันดับ 3 Hydrangea
อะไรกัน ไฮเดรนเยียออกจะสวยเนอะ
แต่ไม่น่าเชื่อเลยว่า จะมีอันตรายด้วย
มันสวยก็จริง แต่ถ้ากินเข้าไปล่ะก็
จะเนื้อตัวเย็นเฉียบ ครั่นเนื้อครั่นตัว คลื่นไส้ อยากจะอาเจียน
บางคน อาจจะเกิดอาการช็อคได้เลยด้วยซ้ำไป
เพราะงั้น ดูแต่ตา มืออย่าต้อง นะจ๊ะ


อันดับ 2 Foxglove
ถุงมือหมาจิ้งจอก?
ดอกไม้สูงแค่สามฟุต สีสวยงามนี่แหละ อันตรายดีทีเดียว
แน่นอนว่า จะทำให้คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องมาก
และปากไหม้ด้วย ถ้ากินเข้าไปนะ
บางคนก็จะทำให้อัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติ
ว่ากันว่า มันฆ่ากระต่ายได้เลยล่ะ


อันดับ 1 Wisteria
ชื่อต้นไม้นี้ แปลกทีเดียวเชียว
แต่ก็นั่นแหละ เค้าบอกว่า ถ้าเผลอกินเข้าไปเมื่อไหร่
ท้องร่วง ท้องเสีย อาเจียน ปวดหัว เป็นไข้ วิงเวียนแน่
และถ้าไปโรงพยาบาลไม่ทัน อาจจะช็อคแหงแก๋ได้เหมือน




ถ้าไม่กินก้ไม่ตายหรอก

เครดิต http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=178259

18 พ.ย. 2553

10อันดับอาหารโหด ใครมีอันไหนโหดมาเจออันนี้สิ

เริ่มจาก....

อันดับ 10 หนู



เป็นอาหารสุดฮิต ของอเมริกาใต้ โดยเฉพาะประเทศยากจนอย่าง เปรู ปารากวัย หนูคือแหล่งโปรตีนสำคัญที่เดียว และเป็นเมนูหลักๆ ของร้านอาหาร และภัตตาคารใหญ่ๆ โดยชาวปารากวัยต่างลิ้มลองเชื่อว่าการกินหนูจะช่วยให ้ผิวกระชับมากขึ้น ผิวเนียนอีกต่างหาก ซึ่งหนูตัวใหญ่เขาจะมาย่างเป็นหนังกรอบหอมเสริฟแบบแฮมเบอร์เกอร์เลยที่เดียว ส่วนหนูทารกตัวสีชมพูแดงๆ ก็จะหย่อนหนูเป็นๆ ลงท้องทันทีตามด้วยนมสดสักแก้ว หรือไม่ก็จะอร่อยแบบศิวิไลหน่อยก็จับลูกหนูใส่ในขนมปังหรือกล้วยหอมแล้วยัด ใส่ปากเคี้ยวกร้วมๆ ร้องจิ๊ดๆ เป็นอันอร่อยเหาะ

อันดับ 9 สตูค้างคาว



อาหารขึ้นชื่อของเวียดนาม ประเทศที่กำลังเจริญกว่าไทยน่ะแหละ ขายดิบขายดี แถมยังหรูและหายากมาก โดยเฉพาะเมืองหลวงไซ่งอนน่ะมันอยู่ในระดับภัตตาคารหรูเท่านั้น ซึ่งชาวเวียดนามเชื่อกันว่าเนื้อค้างคาวคือราชันย์แห่่งเนื้อทั้งปวง การกิน น่ะหรือ ทำได้หลายวิธี เช่นทำซุป หรือนำมาสับเป็นชิ้นๆ เคี้ยวเป็นสตู หรือไม่ก็ใช้มีดคมๆ ตัดหัวค้าวคาวทันที จากนั้นก็รีดเลือดที่หยดจากร่างไร้หัวใส่แก้วเปล่าแล้้วดื่มกินสดๆ ทันที

อันดับ 8 สตูเนื้อหมาดำ



พูดถึงเอเชียก็ต้องเนื้อหมา กินกันทั้งเกาหลี เวียดนาม ไทย แต่ถ้าจะหาประเทศที่กินเนื้อหมาได้มีลีลาเด็ดอร่อยก็ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อนบ้านของเรานั้นเองเพราะพี่เพื่อนบ้านแกทำหลายเมนูมาก โดยเฉพาะเนื้อหมาดำว่ากันว่ามีรสอร่อยกว่าเนื้ออื่นๆ ทั้งปวง แถมนุ่มกว่าเนื้อหมาสีอื่นๆ ทำให้เวลานี้หมาดำชักจะหายจากถนนและบ้านเรือนของอินโดนีเซียไปแล้ว

อันดับ 7 หัวแกะสด-ต้ม



จากหลายประเทศ รอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เป็นเมนูที่คุ้นเคยอย่างยิ่งของชาวเมืองแถบนั้นว่ากันว่าหัวแกะถือว่าเป็น อาหารสุดยอดของแกะ เมื่อถึงเทศกาลปีใหม่ของชาวยิวที่เรียกว่า รอช อาแชน่า หัวแกะถูกนำมาเสิร์ฟพร้อมกับความหมายที่ว่า ใครก็ตามได้กินหัวแกะนั้นจะได้รับโชคดีในวันปีใหม่ที่จะมาถึง แต่ถ้ากินลูกนัยตาของลูกแกะเข้าไปย่อมโชคดีมากขึ้นไปอีก ส่วนรสชาติหลายๆ คนให้ความเห็นว่า “เค็มเหลือเกินพับผ่า”

อันดับ 6 ขนมพายครีบแมวน้ำ



ชาวนิวฟาวด์แลนด์กินพายที่มาจากครีบแมวน้ำนั้นถือว่า เป็นสิ่งวิเศษ และต้องกินให้ได้ถ้ามีโอกาส และด้วยเหตุนี้ส่งผลให้แต่ละปีจะมีแมวน้ำมากมายมหาศาลต่างถูกจับตัวขึ้นมา ตัดครีบทั้งสองข้าง จากนั้นก็ถีบลงเรือและปล่อยให้จมน้ำตายในทะเลไปอย่างน่าสมเพชที่สุด ในภัตตาคารใหญ่ๆ หลายต่อหลายแห่งก็มีเมนูชนิดนี้เปิดขายทั้งแบบปกปิดและเปิดเผย เพราะนานาประเทศยังต่อต้านเมนูนี้อยู่

อันดับ 5 สมองลิงแสนสนุก



วิธีการทำและการกินก็ง่าย ก็เอาลิงพันธุ์อะไรก็ได้แล้วแต่มีให้ มาหนีบกับโต๊ะโดยมีส่วนหัวด้านบนโผล่ออกมา จากนั้นพ่อครัวก็ใช้วิชาบาร์เบอร์โกนขนส่วนบนของลิงออกจนเกลี้ยงเกลาจากนั้น ก็ใช้สิ่วและค้อนเฉาะกะโหลกของลิงออกคล้ายกับกะเทาะ มะพร้าวอ่อน และแล้วลูกค้าก็จะรีบตักกินสมองลิงอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะถ้าปล่อยทิ้งไว้นานเกินไปสมองลิงจะยุบและลดปริมาณลงอย่างรวดเร็ว แต่บางครั้งเขาก็เสิร์ฟสมองลิงแบบแช่แข็งไว้ด้วย เพื่อลดภาวะสมองลิงหดตัวอย่างรวดเร็วอีกทางหนึ่ง

อันดับ 4 ปลาสองแผ่นดิน



เมนูนี้สามารถหากินได้จากประเทศจีนหรือไทยก็ได้ครับ วิธีการทำต้องใช้ฝีมือหน่อย เริ่มจากนำมาเก๋าขนาด 2 ก.ก. มาขอดเกล็ดออกให้หมดแล้วนำมาล้าง ก่อนจะใช้ผ้าเย็นที่แช่เย็นจัดพันส่วนหัวจนถึงพุงปลา แล้วก็ใช้มีดบั้งตัวปลาตั้งแต่ส่วนหางขึ้นมาจนถึงกลางลำตัว ระหว่างนั้นตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชลงไปรอให้เดือดเต็มที่ แล้วก็นำหางปลาช่วงที่บั้งจุ่มลงไปทอดครึ่งตัว
ซึ่งเป็นภาพที่หวาดเสียว มาก เพราะปลาจะดิ้นตลอดเวลาด้วยความเจ็บปวด ต้องใช้คีมคีบที่หัวปลาเอาไว้ รอจนเนื้อปลาสุกเป็นสีเหลือง ก็ยกขึ้นนำมาวางบนจานแต่งด้วยเครื่อง ยกเสิร์ฟโดยครึ่งบนปลายังเป็นๆ อยู่ อ้าปากพะงาบๆ ครีบยังกระดิกได้ แต่ครึ่งล่างทอดจนสุก กินกับน้ำจิ้มซีฟู้ดและซอสเปรี้ยว โดยคนจีนเชื่อว่าการทานปลาสองแผ่นดินเป็นยาชูกำลังให้กินมากๆ จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงน่ะจะบอกให้ เชื่อไหม

อันดับ 3 อุ้งตีนหมี



เป็นอาหารที่นักเปิบมหาภัยชอบมากและเป็นเมนูสุดโหด เพราะการตัดอุ้งตีนหมีนั้น ไม่สามารถตัดขณะที่หมียังมีชีวิตได้ การฆ่าหมีเองก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะหนังหมีจะหนามาก ยากต่อการฆ่า ดังนั้น ผู้ฆ่าจึงจับหมีถ่วงน้ำทั้งเป็นหมีความส่งเสียงร้องดังโหยหวนเมื่อถูกตะขอ เหล็กเกี่ยวร่างออกจากกรงขัง ไม่กี่นาทีต่อมามันก็ตกอยู่ในความมืดมิด เมื่อถูกกระสอบสวมคลุมร่าง นักท่องเที่ยวจะยืนมองวินาทีสุดท้ายของหมีควายโชคร้ายในถังเก็บน้ำใบเขื่อง ด้วยสายตาเฉยชา หลังจากร่างใหญ่ดิ้นพราดๆ อยู่เพียงครู่ ทุกอย่างก็สงบลง เพชฌฆาตรีบลงมีดเลือดสดๆ ไหลทะลักจากคอหมีลงสู่ถ้วยขนาดย่อม เลือดในถ้วยถูกผสมด้วยเหล้าขาวแล้วเวียนกันดื่ม หลังจากยืนดู การชำแหละอุ้งตีนหมีเสร็จสิ้น นักท่องเที่ยวจึงกลับไปที่โต๊ะ นั่งรออาหารจานเด็ดที่เชื่อว่าจะช่วยทำให้คนแข็งแกร่งในกามกรีฑา ดุจเดียวกับความแข็งแรงของอุ้งตีนหมี

อันดับ 2 ซุปตัวอ่อนมนุษย์



เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงน่ะครับ เมนูนี้เป็นอาหารเฉพาะบางกลุ่มเท่านั้นน่ะครับ มันมีขายอยู่ที่เฉินเซ่น ประเทศจีนการกินตัวอ่อนของมนุษย์ หรือทารกที่เพิ่งคลอดนั้นเป็นความเชื่ออย่างลับๆ ว่าจะช่วยเพิ่มคุณค่าอาหารหลายอย่างในหมู่ชาวจีน นั้นก็คือทำให้ผิวสวยเนียน ร่างกายแข็งแรงต้านทานโรค และที่เชื่อกันมากก็คือช่วยบำรุงไตได้ดีสำหรับวิธีการทำก็ไม่ยากเท่าไหร่ แค่เอาเด็กทารกแรกคลอด หรือเด็กที่ตายจากการทำคลอด

ยิ่งเป็นเด็กผู้ชายยิ่งดี(เขาบอกว่ามีคุณค่าทางอาหารสูง) มาสับ มาเคี่ยวเป็นซุปและใส่เนื้อหมูลงไปเป็นอันเสร็จ รสชาติเหมือนซุปสมุนไพรอย่างไรก็ตามการนำเด็กทารกมาทำตุ๋นยาจีนเป็นอาหารที่ ประเทศจีนนั้น ถือว่าผิดกฎหมาย ทำให้เมนูนี้ ต้องมีการสั่งเป็นพิเศษ หรือไม่ก็แอบทำให้กับพวกที่อยากรับประทานอาหารแบบพิสดารแบบนี้

อันดับ 1 เนื้อมนุษย์



ที่ปาปัว นิว กินี และก็มาถึงอันดับหนึ่งของเรา ที่ปาปัว นิว กินี เวลามีใครตายไม่ว่าจะเป็นญาติของตน หรือคนต่างเผ่าที่ตกอยู่ในครอบครองของตน เขาจะไม่นำศพไปฝังหรือเผา แต่จะนำศพไปไว้บนตะแกรงที่ยกพื้นสูงขนาดท่วมหัว ปล่อยให้ศพอยู่ในสภาพนั้นจนขึ้นอืด เกิดน้ำเหลืองเยิ้มไปทั้งตัวดีแล้ว ก็จะเข้าป่าหาใบไม้ที่เป็นเครื่องเทศเอามาพับเป็นกระทงเล็กๆ (คงอย่างที่เตรียมใบชะพลูจะกินกับเมี่ยง) เหมาะที่จะมีขนาดกินคำเดียว แล้วก็เชิญพรรคพวกเพื่อนฝูงให้มารวมกันอยู่ใต้ตะแกรง ศพนั้น นำเอาไม้ปลายแหลมแทงศพให้เป็นรู ให้น้ำเหลืองไหลย้อยออกมา นำกระทงใบไม้ที่เตรียมไว้ รองรับน้ำเหลืองนั้น

พอได้มากดีแล้วก็กินทั้งน้ำเหลืองและใบไม้กินกันจนไม่มีน้ำเหลืองแล้วก็ นำศพ นี้ไปต้มซุปกับผักต่างๆ กินกันต่อไปแต่ถ้าจะกินมนุษย์ที่สะใจที่สุดต้องยกให้ชนเผ่า โดโบดูรัส นิยมจับเหยื่อที่ล่ามาได้มากินแบบเป็นๆ นั้นคือต้องทรมานเหยื่อจนใกล้จะตายแต่ไม่ให้ถึงตาย จากนั้นก็เจาะกะโหลกให้เป็นรูลึกๆ เสียก่อน แล้วค่อยสอดไม้เล็กๆ ที่มีปลายแบบชอนเข้าไปตักสมองออกมากิน เหยื่อก็ดิ้นไปดิ้นมา ดูแล้วก็ … เฮือก.. !?
กรี๊ดดดดดดดดดดดด

อยากอ้วกมากๆเลย