16 ธ.ค. 2553

10 มหาเศรษฐีและประสบความสำเร็จระดับโลก โดยที่เรียนไม่จบมหาวิทยาลัย

ทุกวันนี้นักศึกษาบ้านเราไม่น้อย เลือกเรียนคณะเด่น เอ็นตามเพื่อน ตามใจพ่อแม่ แต่เข้าไปในรั้วมหาวิทยาลัยแล้ว ยังถามตัวเองอยู่เลยว่าจบไปจะเป็นอะไรดี ลองมาดูคนเจ๋งๆ เหล่านี้เขาทำอะไรถึงประสบความสำเร็จได้ แม้ไม่เคยจบมหาวิทยาลัย


ริชาร์ด แบรนสัน
Richard Branson


ผู้ก่อตั้งแบรนด์เวอร์จิน ด้วยภาพลักษณ์นักธุกิจนอกกรอบ ตำราไหนว่าแน่พี่ขอแหก เสาะแสวงหาความท้าทาย ในการดำเนินชีวิตและธุรกิจ เลิกเรียนตั้งแต่อายุ 16 มาเอาดีด้วยการทำนิตยสารสำหรับนักเรียนเป็นธุรกิจ ค่อยๆ ขยายธุรกิจอื่นๆ มากมาย ไม่เว้นแม้แต่สายการบิน เป็นเพลย์บอยแถมรวยภาพที่ปรากฏก็เลยแสบๆ อย่างที่เห็น




โคโค แชลแนล
CoCo Chanel


ผู้ก่อตั้งแบรนด์แชนแนล เธอเกิดมากำพร้า เริ่มอาชีพเป็นเพียงช่างเย็บผ้า ในยุคที่สตรีต้องตัดชุดสตรีเท่านั้น แชนแนลผลักดันตัวเองอย่างกล้าหาญด้วยการออกแบบเสื้อผ้าสำหรับผู้ชาย ด้วยความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบและผสมผสานเนื้อผ้า สร้างเอกลักษณ์ให้ผลงานของเธอ แต่ที่สร้างชื่อให้เธอเป็นที่จดจำตลอดกาลคือ คือ น้ำหอม แชนแนลหมายเลข 5 อันโด่งดังนั่นเอง



ไมเคิล เดลล์
Michael Dell


ไปไหนก็จะเห็นคอมพิวเตอร์-โน้ทบุ๊คยี่ห้อ Dell กันใช่ไหม ผู้ก่อตั้งคือ ไมเคิล เดลล์ เขาหยุดเรียนตั้งแต่อายุ 19 มาก่อตั้งบริษัท PC's Limited ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น Dell, Inc และผันตัวเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก ในปี 1996 เดลล์ได้มอบทุนให้มหาลัยเทกซัสจำนวน 50 ล้านเหรียญ (ราวๆ 2,000 ล้านบาท) เพื่อยกระดับสุขภาพและการศึกษาของเยาวชน




เฮนรี่ ฟอร์ด
Henry Ford


ออกจากบ้านตอนอายุ 16 ปีเพื่อเป็นช่างยนต์ ภายหลังก่อตั้ง บริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ ดำเนินอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ ซึ่งรถที่ประสบความสำเร็จครั้งแรกคือรุ่น Ford Model T ผลกำไรทำให้ขยายกิจการ และริเริ่มวางสายการผลิตแบบอัตโนมัติ




บิล เกตส์
Bill Gates


ติดอันดับมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกปี 1995 - 2006 ช่วงวัยรุ่นหยุดเรียนเพราะกระเหี้ยนกระหือรือจะตั้งบริษัทผลิตซอฟท์แวร์ ชื่อความหมายเล็กจิ๋วว่า บริษัทไมโครซอฟท์ รวยล้นฟ้าแล้วยังใจบุญ เพราะครอบครัวบิลก่อตั้ง มูลนิธิ บิล & มาลิดา เกตส์ คอยช่วยเหลือด้านการศึกษาและสุขภาพแก่คนทั้งโลก




สตีฟ จ็อปส์
Steve Jobs


เรียนมหาวิทยาลัยได้เทอมเดียวก็ไปทำงานให้กับ บริษัท อาตาริ ก่อนที่จะควบรวมเป็น บริษัท แอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์ แต่ชื่อมันยาว เดี๋ยวนี้เลยตัดเหลือเพียง แอปเปิ้ล แบรนด์ล้ำๆ ที่ทำให้คนทั้งโลกคลั่ง กับผลงานล่าสุดอย่าง iPad และ iPhone 4 ครั้งหนึ่งสตีฟ จ็อปส์เคยเป็น CEO ให้ Pixar ก่อนที่จะควบรวมกับ วอลท์ ดีสนีย์




เจมส์ คาเมรอน
James Cameron


หยุดเรียนตอนปี 2 ไปทำงานรับจ้างทั่วไป ทั้งขับรถบรรทุกและงานเขียน ระหว่างนั้นก็พยายามเรียนด้าน สเปเชียล เอฟเฟค ด้วยตนเอง จากวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาในห้องสมุด หลังจากดูหนัง สตาร์วอร์ จึงเลิกขับรถบรรทุก ไปหางานในวงการภาพยนตร์ทำ จากงานผู้ช่วย ก็ผันมาเป็นผู้สร้างสรรค์ผลงานที่กลายเป็นตำนาน อย่าง คนเหล็ก 2, ไททานิค และ ภาพยนตร์ 3D สุดอลังการอย่าง อวาตาร




เลดี้ กาก้า
Lady Gaga


กว่าจะเป็นราชินีเพลงป๊อปแดนซ์และเจ้าแม่แฟชั่นหลุดโลกคนนี้ เธอหัดเปียโนตั้งแต่อายุ 4 ขวบ เริ่มเขียนโน้ตเปียโนตอน 13 พออายุ 17 ปีก็แต่งเพลงเอง จนกระทั่งปีสองเทอมสอง เธอหยุดเรียนและหันไปเอาดีในอาชีพดนตรี ด้วยเงินเพียงน้อยนิด จนประสบความสำเร็จในชื่อ "เลดี้ กาก้า" ที่ทั้งโลกรู้จัก ชื่อที่ผันมาจากชื่อเพลง "เรดิโอ กา ก้า"




ไทเกอร์ วู๊ดส์
Tiger Woods


เล่นกอล์ฟตั้งแต่เดินได้ โชว์วงสวิงให้โลกตะลึงตอนอายุ 2 ขวบ เอาชนะพ่อตัวเองได้ตอน 11 ขวบ หลังจากคว้าแชมป์รายการดังมากมาย จึงตัดสินใจหยุดเรียนและเปลี่ยนเป็นนักกอล์ฟมืออาชีพ ขณะอยู่ปี 2 ผูกขาดตัวเองเป็นนักกอล์ฟมือหนึ่งของโลกมานานหลายปี

แม้ไม่เคยเรียนจบแต่ตีกอล์ฟจนได้ดี ปริญญาสาขาต่างๆ ก็มาประเคนให้ ครั้งนึงรัฐมนตรีบ้านเราบ้าจี้เชิญมามอบแล้วบอกว่าวู๊ดส์เป็นคนไทย พี่เสือแกสวนทันทีว่าไม่ใช่ ผมเป็นอเมริกัน ท่านๆ หน้าแหกกันเป็นแถว




มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก
Mark Zuckerberg


ผู้ก่อตั้ง Facebook ที่คนทั้งโลกติดกันงอมแงม พัฒนาเฟสบุ๊คกับเพื่อนร่วมชั้น ตั้งแต่ตอนที่เรียนอยู่ที่ ฮาวาร์ด หลังจากที่เฟสบุ๊คได้รับความนิยมและทำเงินมหาศาล ก็หยุดเรียน เพื่อเป็นผู้บริหารของเฟสบุ๊คเต็มตัว ปัจจุบันเป็นมหาเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุดในโลก โดยปี 2010 นี้มีทรัพย์สินมูลค่าถึง 4 พันล้านดอลล่าร์


ทั้ง 10 คนนี้ถึง บิล เกตส์ จะรวยที่สุด แต่ ริชาร์ด แบรนสัน ดูน่าอิจฉาที่สุด ด้วยชีวิตสุดเหวี่ยงกิจกรรมสุดเจ๋ง แถมมีกองเชียร์สาวๆ ล้อมรอบตลอดเวลา


ทุกคนที่กล่าวมา สังเกตดีๆ จะเห็นว่า ล้วนมีเป้าหมายที่ชัดเจนตั้งแต่วัยรุ่น และมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าสุดชีวิตที่จะไปให้ถึงปลายฝัน

หากใครยังไม่รู้ตนเอง จบมหา'ลัยไป ก็เสี่ยงจะเดินเข้าสู่วิถี มนุษย์เงินเดือน บ้างก็เป็น มนุษย์ราชการ วงจรชีวิตหลักของคนส่วนใหญ่ จะเป็นอะไรถ้าสุจริตก็เป็นไปเถอะ ดีกว่าจบมาแล้วเป็น มนุษย์ว่างงาน หรือ มนุษย์เลือกงาน มันน่าอาย

"จงก้าวสู่สิ่งที่ตนเองใฝ่ฝัน"


เครดิต http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=181739

4 ธ.ค. 2553

10 อันดับ Hobby (แปลกๆ)

10.

ถักนิตติ้งเป็นหน้าอก

คุณยายท่านนี้เอาเวลายามว่างทั้งหมดนั่งถักนิตติ้งเป็นทรงหน้าอกผู้หญิง (ดูออกหรือเปล่า?) แปลกมั้ย? ทำไมนะหรอ เพราะลูกสาวคุณยายเค้าเป็นพยาบาลเพราะฉะนั้นเธอสามารถเอานมปลอมพวกนี้ไปสอนคุณแม่มือใหม่ที่โรงพยาบาลในการให้นมลูกได้ คุณยายบอกว่าจะถักไปจนไม่มีใครอยากได้แล้ว ซึ่งมีประโยชน์มากๆจ้า!



9.
นั่งรถไฟเหาะ

คุณลุงวัย 78 ปี Vic Kleman ชอบรถไฟเหาะมากๆและต้องเป็นรถไฟเหาะตัวนี้ Jack Rabbit ในสวนสนุกที่ Pittsburg คุณลุงแกเคยนั่งรถไฟเหาะนี้ 90 เที่ยวในหนึ่งวัน ซึ่งถ้านับรวมทั้งหมดแล้วคุณลุงแกนั่งรถไฟเหาะขบวนนี้มาแล้วถึง 4,000 เที่ยว! โดยเฉลี่ยคุณลุงจะนั่งรถไฟเหาะนี้วันละ 20 เที่ยวเลยทีเดียว…ก็คนมันชอบอ่ะ


8.
ตัดแต่งขนสุนัข

สมัยนี้คนจีนนิยมเลี้ยงสุนัขมากขึ้นและมีหลายคนที่จับเอาสุนัขของตนเองมาตัดแต่งเปลี่ยนโน่น นี่ นั่น เหลือความไม่จำเจ มีหลายๆคนที่มีฝีมือในการเปลี่ยนแปลงสุนัขของตัวเองได้ดูดีทีเดียว


7.
ฟ้องร้องเป็นกิจวัตร

Jonathan Lee Riches ได้ทำสถิติลง Guiness Book ว่าเค้าเป็นคนที่มีจำนวนคำร้องฟ้องศาลมากที่สุดในโลก! ถึงขนาดตอนได้รางวัลนี้ นาย Jonathan ก็ถือโอกาสฟ้อง guiness Book ซะเลยในฐานะที่เอาเรื่องเค้ามาลงโดยไม่ได้รับอนุญาติ! ดารา Hollywood ดังๆก็ไม่พ้นที่จะโดนเค้าฟ้อง อย่าง Britney Spears โดนฟ้องข้อหาโชว์ของลับโดยที่เค้าไม่ต้องการดู! อ้าว เฮ้ย!


6.
สักยานพาหนะ

คุณลุงชาวไต้หวันคนนี้ อายุ 71 และเกษียณแล้ว ยามว่างแกจะคัดลอกคำสอนจากคัมภีย์ศาสนาพุทธลงบนรถยนต์ทุกคันของแก ไม่เพียงแต่ภายนอกรถ ภายในรถทุกตารางนิ้วแกก็สามารถเขียนได้จนครอบครัวไม่ยอมออกรถใหม่แล้วเพราะกลัวคุณลุงแกจะเอาไปเขียนจนเละ


5.

สะสมยาเสพติด

หนุ่มใหญ่ชาวดัชต์วัย 46 ปี ชอบสะสมยาเสพติดชนิดต่างๆที่มาในรูปแบบของเม็ด เค้าสะสมได้ทั้งหมด 2,400 เม็ด (หามาได้ไงเนี่ย!?) โชคไม่ดีที่ในปี 2009 ยาที่แกสะสมทั้งหมดถูกขโมยไป ตอนนี้แกก็ร้อนใจมากๆเพราะกลัวคนที่ขโมยจะไปกินโดนยาพิษซึ่งมีอยู่หลายสิบ เม็ดซะด้วย


4.


ร้อง ‘มอ มอ’

ถ้าพูดถึงเรื่องทำเสียงวัวต้องยกให้น้องคนนี้เลย Austin Sioksis วัย 10 ปี เป็นแชมป์ร้องเสียงวัวของรัฐวิสคอนซิล ซึ่งเค้าจะทำเสียงวัวตลอดทั้งวันตั้งแต่เตรียมอนุบาลแล้ว และมีวี่แววว่าจะทำเสียงนี้ต่อไปจนโต!




แจกเงิน $10 ให้คนแปลกหน้า

Reed Sandridge ตกงานเมื่อปีที่แล้วและมีกิจกรรมยามว่างใหม่คือการแจกเงิน $10 ให้คนแปลกหน้าทุกวัน เค้าไม่ได้ต้องการอะไรตอบแทนจากการให้ของเค้าเลย แม่เค้ามักจะสอนว่า “เมื่อลูกกำลังตกที่นั่งลำบากนั่นเป็นเวลาที่ลูกต้องกลายเป็นผู้ให้” เพราะฉะนั้นเมื่อเค้าตกงานจากการเลย์ออฟเค้าก็เริ่มแจกเงินคนอื่นที่ต้องการ มากกว่าเค้าทันที และทุกครั้งเค้าก็จะจดบันทึกคนที่รับเงินเค้าและไปเขียน blog เล่าให้คนทั่วโลกฟัง หลังจากตกงานมาได้ 94 วัน เค้าแจกเงินไปแล้วเกือบ $1,000 ไม่เว้นว่าวันไหนฝนจะตก แดดจะออก หิมะจะถล่ม เค้าไม่เคยหยุดเลย และเงินทุกเหรียญที่เค้าแจกก็มาจากเงินที่เค้าโดนให้ตกงานและเงินเก็บเค้าเองนั่นแหละ….เริ่ด




ชอบออกทีวี

Paul Yarrow ซึ่งอาศัยอยู่ทางใต้ของลอนดอนมี hobby ที่ตลกมากๆคือ เค้าชอบออกทีวี ไม่ว่าจะมีการทำข่าวที่ไหนก็ตามเค้าจะตามไปเสมอโดยที่จะไปเป็น background อยู่เงียบๆเรียบร้อย ไม่ใช่แค่ช่องเดียว ทีวีมีข่าวกี่ช่องเค้าก็ไปปรากฏตัวมาหมดแล้ว เก่งจริงๆ! ความไฝฝันของเค้าคือ อยากได้เข้าร่วมแข่งขันรายการ Big Brother อิอิอิ



แกล้งตาย

Chuck Lamb วัย 47 หรือเป็นที่รู้จักในนาม ไอ้มนุษย์ศพ มี hobby ที่แปลกที่สุดในโลก! เพราะเค้าชอบแกล้งตาย! เพื่อความอยากโชว์เค้าจะบันทึกภาพและวีดีโอการตายของเค้าและเอาลงเน็ตทุก ครั้ง ไม่ใช่เล่นๆนะเพราะเว็บเค้ามีคนเข้าไปดูแล้วกว่า 32 ล้านคนภายในปีแรก ทำไมเค้าชอบนะหรือ? เค้าบอกว่าเค้าอยากเป็นนักแสดงหรืออยากออกทีวี …. น่าตลกมากๆกับ hobby ของคนวัย 47 ที่แต่งงานและมีลูกแล้ว 6 คน! ถ้าที่บ้านชอบคงได้เห็นการแกล้งตายหมู่เร็วๆนี้ อิอิ



เดี๋ยวจะลองหาอะไรแปลกๆทำบ้างhttp://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=179483

เครดิต  toptenthailand.com
            

10 อันดับสถานที่อันตราย

หลังจากทีเคยพูดเอาไว้ที่โรงเรียนนานแล้วว่าจะเอามาลงในสุดก็ได้ลงบางที่
อาจจะเรียกได้ว่ามันสวยงามซะมากกว่าหรือไม่ก้ก็ไม่เป็นอันตรายอะไรแต่บาง
ที่เมื่อไปแล้วอาจจะไม่ได้กลับมาที่บ้านอีกเลยก็ได้


อันดับ 10 Great Pacific Garbage Patch
แพขยะใหญ่แปซิฟิก (Great Pacific Garbage Patch) ซึ่งเรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่า แพขยะตะวันออก หรือ วงวนขยะแปซิฟิก (Pacific Trash Vortex) คือวงวนใหญ่ของขยะมหาสมุทร (marine litter) ที่อยู่ส่วนกลางของมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือตำแหน่งประมาณ 135 -135° ตะวันตก ถึง 155-155° ตะวันตก และเส้นขนานที่ 35° เหนือ ถึงเส้นขนานที่ 42° เหนือ และประมาณขนาดใหญ่ได้เป็น 2 เท่าของเนื้อที่รัฐเท็กซัส แพขยะมีลักษณะของการรวมตัวอย่างเข้มของขยะพลาสติกและขยะอื่นที่ถูกกักรวมได้ ด้วยกระแสวงวนใหญ่แปซิฟิกเหนือ จนแพขยะมีขนาดใหญ่มหาศาลและหนาแน่นจน มีผลต่อสภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นสารพิษ, ผลกระทบต่อสัตว์บกสัตว์ทะเล จนถึงขณะนี้ไม่มีวิธีใดที่จะกำจัดขยะเหล่านี้ได้ นอกจากนั้นมันยังเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วในหลายปีทีผ่านมา จนกลายเป็นปัญหาใหญ่ของสหรัฐและของโลกเป็นที่เรียบร้อย




อันดับ 9 Izu Islands

หมู่เกาะอิสุ เป็นหมู่เกาะภูเขาไฟที่เรียงรายอยู่ทางทิศใต้และตะวันออกของคาบสมุทรอิสุในเกาะฮอนชู ประเทศญี่ปุ่น ตามเขตการปกครองแล้ว ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของกรุงโตเกียว เกาะที่ใหญ่ที่สุด คือ เกาะอิสุโอชิม่า มักเรียกสั้นๆว่า เกาะโอชิม่า ประกอบด้วย 9 เกาะคือ เกาะอิสุโอชิม่า หรือเกาะโอชิม่า, เกาะโทชิม่า, เกาะนิอิ, เกาะชิกิเนะ, เกาะโคสุ, เกาะมิยาเกะ, เกาะมิคุระ, เกาะฮาจิโจ, เกาะอาโองะ ในสมัยเอโดะ เกาะนิอิ เกาะมิยาเกะ และเกาะฮาจิโจ ถูกเลือกให้เป็นสถานที่สำหรับเนรเทศนักโทษ ต่อมาเมื่อ ถึงปี 2000 ได้เกิดเหตุภูเขาไฟระเบิด และพ่นแก๊สพิษออกมาจำนวนมาก ทำให้ต้องมีการอพยพประชาชนออกจากเกาะมิยาเกะ จนกระทั่งเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2005 ผู้ที่เคยอาศัยอยู่บนเกาะอิซุจึงได้รับอนุญาตให้กลับไปอาศัยอยู่ได้ แต่จำเป็นต้องมีหน้ากากกันแก๊สพิษและต้องมีเตรียมพร้อมสำหรับเหตุระเบิดใน อนาคต ทำให้ปัจจุบันที่แห่งนี้มีกลิ่นกำมะถันเต็มไปหมด



อันดับ 8 Door to Hell

สถานที่นี้ถูกขนานนามว่า ประตูสู่นรก(Door to Hell) อยู่ใกล้เมืองเล็กๆเมืองหนึ่งของ Darvaz ในประเทศเติร์กเมนิสถานน โดยการค้นพบสถานที่แห่งนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 1970 นักธรณีวิทยาได้ทำการขุดเจาะหาก๊าซอยู่นั้น พวกเขาก็ได้พบกับถ้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ใต้พื้นดิน ซึ่งมันใหญ่มาก ใหญ่ซะจนกลืนกินเครื่องมือในการขุดเจาะของพวกเขาไปจนหมด นักธรณีวิทยาเหล่านั้นไม่มีใครกล้าลงไปในหลุมเพราะมันเต็มไปด้วยแก๊สพิษ ดังนั้นพวกเขาจึงจุดไฟเพื่อที่จะเผาไหม้แก๊สให้หมดไป แต่!!!จนถึงตอนนี้ 35 ปีแล้วไฟที่จุดยังไม่เคยดับลงแม้แต่วินาทีเดียว และไม่สามารถคาดเดาได้ว่ามันจะดับลงเมื่อไหร่ อีกทั้งไม่มีใครกล้าลงไปสำรวจ



อันดับ 7 Alnwick Poison Gardens

เมืองอาร์นวิค (Alnwick) ใน อดีตเคยเป็นเมืองหลวงของมณฑลนอร์ทธัมเบอร์แลนด์ของสหราชอาณาจักร ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอาร์นซึ่งไหลผ่านใจกลางของเขตอาร์นวิค และเขตชนบทของมณฑลนอร์ทธัมเบอร์แลนด์ สถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อของเมืองอาร์นวิค คือสวนพฤษศาสตร์ที่ตั้งอยู่ที่ เดนวิค, เมืองอาร์นวิค, NE66 1YU, อังกฤษ สวนอลานวิคเป็นสวนที่สวยงาม และเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 2002 และในปี ค.ศ. 2005 โดย สวนแปลกที่เราจะไปท่องเที่ยวคือพอยซัน การ์เด็นหรือสวนที่รวมต้นไม้มีพิษและเป็นเส้นทางเขาวงกต (สร้างขึ้นเมื่อปี 1500) มีพืชมีพิษจำนวนมากจำพวกมะเขือพวง ยาสูบ และนอกจากนี้ยังมีพืชต้องห้ามต่างๆ เช่น กัญชา, โคคา ซึ่งเราสามารถพบพืชมีพิษเหล่านี้ได้ที่นี่เท่านั้น



อันดับ 6 Asbestos Mine

เหมืองแร่ใยหินหรือแอสเบสตอส(Asbestos) ตั้งอยู่ที่ Thetford-Mines, รัฐควิเบก,แคนาดา เป็นเหมืองแร่ขนาดใหญ่ที่ขุดเพื่อเอรแอสเบสตอสซึ่งเป็นแร่ที่เกิดตามธรรมชาติที่มีลักษณะเป็นใยหิน ซึ่งมีคุณสมบัติแข็งแรงและทนทานต่อความร้อนสูง ใช้ในการผสมเป็นวัตถุดิบ เพื่อการก่อสร้างและผลิตอุปกรณ์ หรือสิ่งของต่างๆมากมาย เช่นเป็นฉนวนกันความร้อน ทำผ้าเบรกและ ครัช กระเบื้องมุงหลังคา และท่อซีเมนต์ แต่สิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดมะเร็งและโรคอื่นๆ และที่อันตรายที่สุดคือคนงานในเมืองที่จำเป็นดมแร่แอสเบสตอสมากมาย จนเอสเบสทอสถูกสั่งห้ามใช้ในยุโรปและแคนาดาแล้ว แต่เหมืองเอสเบสทอสยังคงมีอยู่....เพื่อส่งแอสเบสทอสไปขายในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่ง ในฤดูร้อนก็เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยว มีรถทัวร์ชมรอบๆ เหมือง หากคุณจะไปเที่ยวขอให้เตรียมพร้อมกับอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับตัวคุณ ไว้ด้วย



อันดับ 5 Ramree Island

เมื่อ วันที่ 19 กุมภาพันธ์ปี 1945 ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารญี่ปุ่นประมาณ 900-1,000 นาย ประจำการอยู่ด้านหนึ่งบน "เกาะรามรีย์" นอกชายฝั่งพม่า เพื่อนบ้านของเรานี่เอง เพื่อสู้รบกับฝ่ายสัมพันธมิตร ทหารญี่ปุ่นต่อสู่ไม่ถ้อย แต่กระนั้นก็ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ทำให้จำเป็นต้องถอยหนี พวกทหารญี่ปุ่นจังมุ่งหน้ารวมกลุ่มหนึ่งที่ฝากหนึ่งของเกาะ และ นี้เป็นจุดเริ่มต้น ของคืนที่สยดสยองที่ทหารญี่ปุ่นในเวลานั้นลืมไม่ลง ทหารญี่ปุ่นที่เหลือ 1000 นาย ได้รวมกลุ่มเพื่อไปอีกฟากหนึ่งของเกาะ โดยพวกเขาจำเป็นต้องผ่านมีบึงขนาด 16 กม. เท่านั้น และระหว่างที่พวกเขาลุยผ่านบึงนั้นพวกเขาได้ถูกจู่โจมจากฝ่ายศัตรู แต่ไม่ใช้พวกพันธมิตร หากแต่เป็นสัตว์เลื่อยคลานชนิดหนึ่ง

“มันคือจระเข้”

จระเข้ ยักษ์ที่ตะกละตะกลาม จำนวนมากโจมตีทหารญี่ปุ่น อย่างดุร้ายและบ้าคลั่ง ค่อยๆ หายไปทีละคนๆ ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายและเสียงปืนที่ยิงสะเปะสปะ เหล่าทหารญี่ปุ่น 3 ใน 4 ไม่ รอดจากเหตุการณ์บึงมรณะครั้งนั่น คนส่วนใหญ่ที่รอดมาได้ก็บาดเจ็บสาหัส แต่ยังมีชีวิตและสติอยู่มากพอจะภาวนาขอให้ตายไปเสียยังจะดีกว่า และในเหตุการณ์ในครั้งนั้นกินเนสบุ๊คยกให้เป็น "โศกนาฏกรรมที่เลวร้ายที่สุดที่เกิดจากสัตว์"

ปัจจุบัน เกาะรัมรี (Ramree Island) เป็น ส่วนหนึ่งของจ๊อกปะยู ติดกับชายฝั่งอ่าวเบงกอล ในรัฐยะไข่ มีสนามบินพาณิชย์ มีสะพานและถนนเชื่อมกับแผ่นดิน อยู่ห่างจากเมืองท่าซิตต่วย (Sittwe) ลงมาทางทิศใต้ 200 ก.ม.เศษ ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มของระบบทางหลวงที่ไปเชื่อมกับเมืองมะกวย(Magwe) เมืองเม็กติลา (Meiktila) ในเขตมัณฑะเลย์ และเมืองตองยี (Taunggyi) กับเชียงตุง ในรัฐฉาน และถึงชายแดนไทย-จีน

เกาะรามรีย์นั้น ไม่ได้มีชื่อเสียงเพียงแค่เป็นแหล่งของยุงพาหนะไข้มาลาเรีย, แมลง วันที่วางไข่ในแผล และแมงป่องที่มีพิษร้ายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสัตว์ร้ายที่สร้างความหวาดกลัวต่อทหารญี่ป่นในสงครามโลกครั้ง ที่ 2 ด้วยนั้นคือ "จระเข้น้ำเค็ม" ที่ซ่อนตัวอยู่ในบึง ซึ่งมีอยู่มากมายนับหลักพันตัว! จนได้ขนานนามว่า “เกาะแห่งจระเข้กินคน”



อันดับ 4 Yungas Road

ถนนยุงกัส(Yungas Road) เป็นภาษาท้องถิ่นมีความหมายว่า ถนนแห่งความตาย เป็นถนนเส้นทางสายมรณะ อยู่ในตะวันออกเฉียงเหนือของลาปาซ(La Paz) ประเทศโบลิเวีย และได้ถูกบันทึกว่าเป็นถนนที่อันตรายสุดขีดสำหรับนักขับขี่ในโลก อดีตถนนสายนี้สร้างโดยนักโทษชาวปารากวัยในระหว่างสงครามโบลิเวีย-ปารากวัยใน ปี 1932-35 เพื่อใช้เป็นเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างตอนเหนือของประเทศ ถนนมีความยาวทั้งหมด 70 กิโลเมตร จากเมือง ลาปาซถึงเมือง Coroico ทางโค้งสุดแคบยาวเกือบ 3,600 เมตร โดยที่ข้างๆ เป็นเหวลึก 800 เมตรรอรับรถที่พลาดท่าอยู่! แต่ละปีจะมีคนเกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิตเพราะถนนเส้นนี้ 100-200 ราย สาเหตุที่ตายเยอะเนื่องจากถนนที่กว้างแค่ช่องทางเดียวเลนเดียว(กว้างไม่เกิน 3.2 เมตร) และไต่ระดับความสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ และ ลดระดับลงอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังมีการเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศจากหนาวเป็นร้อนชื้นอย่างฉับพลันเกิด หมอกในบริเวณนั้น แต่แทนที่จะมีผู้เข็ดขยาดกลับเป็นสิ่งท้าทายให้คนไปเยือนจนถนนสายนี้กลาย เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ขาดไม่ได้สำหรับนักท่องเที่ยวผู้ไปเยือนประเทศ โบลิเวีย ในที่สุด


อันดับ 3 Mud Volcanoes of Azerbaijan

ในฤดูใบไม้ผลิของปี 2001 ภูเขาไฟใต้ทะเลแคสเปี้ยน(Caspian) ที่ติดชายฝั่ง Azeri ของ อาเซอร์ไบจานได้เกิดระเบิดขึ้น จำนวนผู้เสียชีวิตไม่มีเพราะมีคำเตือนและอพยพได้ทันเวลา แต่กระนั้นผลลัพท์ที่ได้คือเกิดภูเขาไฟโคลน หรือ "เนินโคลนผุด" ที่แปลว่าโคลนเหลวที่เกิดขณะมีการปะทุของภูเขาไฟ เป็นโคลนที่มีรูปร่างคล้ายรูปโดม เกิดจากกระบวนการทางธรณีวิทยา ทำให้ติดไฟง่ายและเกิดก๊าซพิษ แต่กระนั้นมันก็สวยงามแปลกตาอย่างมาก และจนได้เป็นรับเลือกเป็นหนึ่ง 28 สถานที่งดงามตามธรรมชาติของโลกที่ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายเพื่อสรรหา 7 สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติแห่งใหม่ และอาเซอร์ไบจานได้ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่มีโคลนภูเขาไฟเยอะที่สุดในโลก


อันดับ 2 The Zone of Alienation

เมื่อวันที่ 26 เมษายน ปี 1986 เกิดเหตุการณ์ที่โลกจ้องจารึกเมื่อเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ของโรงไฟฟ้า ในเมืองเชอร์โนบิล (สมัยนั้นยังเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต) เกิดการระเบิด ส่งผลให้ให้เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์หมายเลข 4 ระเบิด สารกัมมันตรังสีเกือบทั้งหมดแพร่กระจายสู่บรรยากาศ ในรัศมี 30 กิโลเมตรมีการเปรอะเปื้อนรังสีสูง ถูกประกาศเป็นเขตอันตราย (Zone of alienation) สารกัมมันตภาพรังสีลอยออกไปปนเปื้อนทั้งในอากาศ แม่น้ำ ผืนดิน ทั่วทวีปยุโรปกว่า 3.9 ล้านตารางกิโลเมตร สร้างความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินเป็นอย่างมาก นับว่าเป็นหายนะภัยจากโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ที่รุนแรงที่สุดในโลก

แม้จะผ่านไปเป็นเวลา 21 ปี 2 ทศวรรษ หลังของการระเบิดของโรงงานพลังไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิล เมืองเชอร์โนบิลยังคงเป็นเมืองร้างและอันตรายที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แม้อดีตนั้นจะเป็นเมืองที่มีความเจริญที่จุดเด่นคือเสาชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ ที่เด่นงามสง่าและตึกสูงมากมาย แต่จนบัดนี้กลับกลายเป็นซากเหล็กซากปูนที่น่าขนลุกขนพอง เป็นเมืองที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตทุกชนิด บริเวณในรัศมี19 ไมล์ รอบ ๆ โรงไฟฟ้าแห่งนี้ก็ยังเป็นบริเวณที่อยู่อาศัยไม่ได้ ซ้ำยังคงมีกัมมันตภาพรังสีหลงเหลืออยู่ อีกทั้งของเหลวเป็นพิษและปนเปื้อนในน้ำและอากาศจนไม่สามารถดื่มกินได้




อันดับ 1 Ilha de Queimada Grande
เกาะ Queimada Grande หรือ “เกาะงูคลั่ง” เป็นเกาะที่ตั้ง อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเภทบราซิล เป็นเกาะที่ไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่และไม่กล้ารุกราน อันเนื่องจากเกาะนี้เต็มไปด้วนงูพิษที่สามารถฉกคุณได้ทุกเวลาหากคุณเข้ามา ยังเกาะแห่งนี้

โดยเฉพาะงูพิษพิเศษ Golden Lancehead (Bothrops insularis) pitviper มีพิษรุนแรงมาก พิษของมันรุนแรงมากกว่างูพิษบนแผ่นดินใหญ่ถึงห้าเท่า กัดทีเดียวตายทันที และจัดว่าเป็นงูถิ่นเดียวที่มีถิ่นอาศัยอยู่บนเกาะที่เท่านั้น และมีอาศัยอยู่หนาแน่นสูงมาก(จำนวนหนึ่งตัวต่อหนึ่งพื้นที่) งู ประมาณกันไว้ว่ามีมากกว่า 5,000 ตัวบนเกาะเลยทีเดียว(งูชนิดนี้มีรูปแบบของเพศที่แปลกคือ มีตัวผู้แท้ มีตัวเมียแท้ และมีกระเทยแท้ ) และสถานที่แห่งนี้จัดว่าเป็นสถานที่อันตรายที่ต้องใช้ใบอนุญาตในการเข้าเท่านั้น

ที่จริงมันก็ไม่น่าอันตรายน่ะถ้าเราไม่ไป
ซ้ำขออภัยเม้นแจ้งลบไว้น่ะ

เครดิต http://atcloud.com/stories/82114
             http://www.jokergameth.com/board/showthread.php?t=180492

2 ธ.ค. 2553

10 อันดับสุดยอดหนังสือแปลกลึกลับ

อันดับที่ 10 : Codex Seraphinianus



เป็น หนังสือที่ออกแบบและเขียน โดยศิลปิน(สถาปนิก)ชาวอิตาลีหลุยส์(Luigi Serafini) ในช่วงสามสิบเดือน 1976-1978 หนังสือยาวกว่า 360 หน้า(ขึ้นอยู่กับรุ่น) เป็นหนังสือรวมภาพประหลาดพร้อมกับภาษาที่ไม่เข้าใจ หนังสือแบ่งออกเป็นสิบเอ็ดบท แบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกจะปรากฏขึ้นเพื่ออธิบายโลกธรรมชาติเกี่ยวกับพืช สัตว์ และฟิสิกซ์ หากแต่สัตว์และพืชแต่ละอย่างมันไม่มีในโลก เช่นแรดสองหัว ม้า ช้างน้ำ แรด นก หอยทากหลากสีสัน คนต่างดาว ดอกไม้แปลก ต้นไม้เดินได้ พืชมีขา เป็นต้น ส่วนที่สอง เป็นเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์ศาสตร์ แง่มุมต่างๆ ของชีวิตมนุษย์ เสื้อผ้า ประวัติ อาหาร สถาปัตยอื่นๆ กีฬาแปลกๆ ส่วนตัวอักษรที่ปรากฏ ดูเหมือนเป็นอักษรจอร์เจีย หรือกลุ่มภาษาเซมิติกเขียนจากขวาไปซ้าย แต่จนบัดนี้อักษรและภาพเหล่านั้นก็ไม่มีใครตีแตกมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 80 ว่ามันสื่อถึงอะไรและคนเขียนก็ยังคงปากแข็งเกี่ยวกับความหมายนี้ แต่ กระนั้น มีคนวิเคราะห์ว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ได้มีเจตนาให้ลึกลับซ่อนเงื่อนหากแต่ต้อง การสื่อถึงโลกจินตนาการของผู้เขียน และหนังสือเล่มนี้ได้เป็นงานศิลปะที่มีชื่อเสียงมากที่สุดและภาพที่มีชื่อ เสียงที่สุดคือคนเปลือยกายกลายร่างเป็นจระเข้(ภาพหน้าปกของหนังสือ) ถ้าคุณไม่เชื่อลองพิมพ์ชื่อหนังสือลงในกูเกิ้ลหาภาพดู คุณจะพบว่าคนเขียนหนังสือเล่มนี้ท่าจะไม่เต็มเต็ง


อันดับที่ 9 : The Liber Linteus



Liber Linteus เป็นตัวอักษรโบราณของพวกอีทรัสคันซึ่งเป็นชนกลุ่มหนึ่งที่มีวัฒนธรรมเฉพาะ ของตนที่รุ่งเรืองในอิตาลี เมื่อ 700 ปีก่อนคริสตกาลก่อนที่โรมจะเรืองอำนาจ(และวัฒนธรรมของอิทรัสนั้นโรมก็นำมา ใช้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น การชนประทาน หรือสงคราม) Liber Linteus เป็นเอกสารที่มีข้อความเกี่ยวข้องกับพวกเขาที่ยาวที่สุด เก่าแก่ที่สุดที่มีชื่อเสียง โดยมันทำมาจากผ้าลินิน สิ่งที่น่าสนใจหนังสือที่ว่านั้นเป็นมันทำหน้าที่คล้ายผ้าห่อศพคลุมชาวอี ทรัสคันที่ตายแล้วนำไปฝังหรือเก็บรักษาไม่ให้เน่าเหมือนมัมมี่เหมือน วัฒนธรรมการรักษาศพของอียิปต์ และตอนที่พบหนังสือนี้ก็มาพร้อมกับมัมมี่เช่นกัน มัมมี่ที่พบพร้อมตัวอักษรนี้คาดว่าเป็นเพศหญิงที่มียศสูงศักดิ์พอสมควร เนื่องจากเวบานั้นผ้ามีราคาแพงมากและศพที่ถูกห่อด้วยผ้านั้นผู้ทำต้องมีฐานะ ดีพอสมควร อักษรของ Liber Linteus ประกอบด้วย 1,200 คำ 230 บรรทัดอ่านจากขวาไปซ้าย แม้จะมีแถวที่หายไปบ้างแต่ก็ถือว่าเกือบสมบูรณ์ เขียนด้วยหมึกดำและหมึกสีแดงที่ขีดเป็นเส้นๆ เสมือนกับว่าเป็นเครื่องหมายในการออกเสียง และ จนบัดนี้ไม่มีใครอ่านภาษาของพวกเขาออกได้ทั้งหมด ภาษาเขียนเหมือนอักษรกรีกแต่ไม่สามารถจัดเข้าพวกใดๆได้เลย แม้จะขุดพบหลักฐานเป็นจำนวนมากแต่ก็ไม่มีคีย์เวิร์ดในการช่วยแปลอักษรเหล่า นี้ได้ แต่กระนั้นนักวิชาการสันนิษฐานว่า Liber Linteus น่าจะเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับปฏิทินพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ ศาสนา เกี่ยวกับชาวพวกอีทรัสคัน ปัจจุบันหนังสือนี้ถูกเก็บรักษาอย่างดี(พร้อมมัมมี่) ในห้องเย็นของพิพิธภัณฑ์ ซาเกร็บ โครเอเชีย
อันดับที่ 8 : The Book of Soyga
 


The Book of Soyga เป็น หนังสือลาตินเวทมนต์ในศตวรรษที่ 16 ที่รู้จักกันดีโดยนักวิชาการจอห์นดี หรือด็อกเตอร์ดี หลังจากที่เขาตายหนังสือนี้ก็หายไป จนกระทั้งปี 1994 มีการค้นพบสองต้นฉบับที่เหลือ จอห์น ดี( 1608-1609) เขาเป็นนักคณิตศาสตร์ นักดาราศาสตร์ โหร นำทำนาย และที่ปรึกษาพระราชินีอลิซาเบธที่ 1 แห่ง อังกฤษในยุคนี้ โหราศาสตร์ได้ถูกพัฒนาไปสู่ความซับซ้อนมากถึงขีดสุด และเป็นที่แพร่หลายในหมู่กษัตริย์และผู้นำทางศาสนา เขามีผลงานเด่นคือได้วางฤกษ์วันพระราชพิธีราชาภิเษกของพระราชินีอลิซาเบธที่ 1 แห่งอังกฤษ โดยวางให้อาทิตย์ ศุกร์ และพฤหัส ทำมุมดีต่อดาวกำเนิดของพระองค์ ส่งผลให้พระราชินีทรงครองราชย์ยาวนานถึง 44 ปี จอห์น ดีเป็นโหรที่มีความเชี่ยวชาญหลายแขนงไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์ และการแพทย์ ซึ่งในช่วงปั่นปลายเขาได้หันมาเล่นแร่แปรธาตุ ศึกษาพลังเหนือธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อกับภูตสวรรค์ หรือการอ้างว่าเขาสามารถสร้างหินนักปราชญ์(ศิลาอาถรรพ์) แปรธาตุตะกั่วให้เป็นทองคำ หลายคนจึงเชื่อว่าหนังสือ The Book of Soyga ถือกำเนิดขึ้นเพื่อเหตุผลนี้ แต่อย่างไรก็ตามหนังสือเริ่มนี้ปัจจุบันยังไม่สามารถตีความได้หมด หลายคนพยายามไขความลับของหนังสือเริ่มนี้เพราะเชื่อว่ามันได้บรรจุความรู้ ที่เหนือธรรมชาติเอาไว้ แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เนื่องจากคำบางคำนั้นไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันใช้ยังไง หรือมีรหัสมากมายที่ปรากฏในหนังสือ เช่น วงกลม วงเวทย์เวทย์ ตาราง และรูปปริศนามากมาย
 
อันดับที่ 7 : The Rohonc Codex
 


The Rohonc Codex เป็น หนังสือลึกลับของฮังการีที่ไม่ทราบว่าเป็นหนังสืออะไรและใครเป็นคนเขียน ที่คาดว่าทำขึ้นเมื่อ ปี 1700(กระดาษทำขึ้นในปี 1530 แต่กระนั้นก็ไม่สามารถระบุได้แหล่งผลิตคือที่ไหน) มีทั้งหมด 448 หน้า ภาษาในหนังสือปัจจุบันไม่สามารถแปลได้ มันเป็นภาษาที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน นักวิชาการหลายคนมีความคิดเห็นมากมายว่า มันน่าจะเป็นภาษาโบราณจำพวกภาษาฮังการีโบราณ หรือไม่ก็ภาษาฮินดี(ภาษาฮินดีเป็นภาษาที่พูด ส่วนใหญ่ในประเทศอินเดียเหนือและกลาง) หรือภาษาโรมาเนีย แต่กระนั้นมันก็ขาดคุณสมบัติที่จะแปลภาษาดังกล่าวได้ ดังนั้นสิ่งที่คาดเดาได้ว่าหนังสือเรื่องนี้คืออะไรก็คงจะเป็นภาพประกอบใน เล่มเท่านั้น โดยภาพหนังสือเล่มนี้มีทั้งหมด 87 ภาพ ภาพเหล่านี้แสดงถึงภูมิประเทศ ฉากสภาพแวดล้อมของคนในศาสนาคริสเตียน คนในศาสนาฮินดูอยู่ร่วมกัน และมีสัญลักษณ์(อักษร) แปลกๆ อยู่บนภาพที่ บางอันรูปร่างเหมือนดวงอาทิตย์หรือพระจันทร์ นอกจากนี้ยังมีภาพการต่อสู้ของทหารด้วย ปัจจุบันหนังสือเล่มนี้อยู่หอสมุด Hungarian Academy of Sciences ในฮังการี
 
อันดับที่ 6 : Rongorongo
 


Rongorongo หรือรองโกรองโก้เป็นอักษรภาพที่ค้นพบเมื่อศตวรรษที่ 19 สลักในไม้กระดานปักหลุมศพของชาวเมืองราโนบนเกาะอิสเตอร์กลางมหาสมุทรแปซิ ฟิค ตัวอักษรต่างๆ มีรูปร่างเหมือนรูปมนุษย์ สัตว์(อารมณ์ไปทางไส้เดือน กิ่งกือ) พืช ศิลปวัตถุ รูปทรงเรขาคณิต แต่ จนบัดนี้ภาษานี้ก็ไม่มีใครหน้าไหนที่แปลออกและกลายเป็นภาษาลึกลับที่สุดใน โลกอีกอันดับ สาเหตุที่แปลไม่ได้เนื่องจากเกาะอิสเตอร์นั้นเป็นเกาะที่โดดเดี่ยวดังนั้น พวกเขาจึงมีภาษาเฉพาะโดยไม่มีอิทธิพลภาษาอื่นๆ มาเจือปน ทำให้นักโบราณคดีไม่สามารถหาคีย์ในการแปลได้ แต่กระนั้นก็มีการสันนิษฐานว่าบางที่รองโกรองโก้อาจไม่ใช่ภาษาอาจจะเป็นงาน ศิลปะไม่ก็ปฏิทินอะไรสักอย่าง และนอกจากภาษาแล้วนักโบราณคดียังไม่รู้เลยว่าชาวพื้นเมืองนี้อาศัยเกาะนี้ อย่างไรในเมื่อมันไม่มีอาหาร ไม่มีพื้นบ้าน หรือกระทั้งประวัติศาสตร์ก็ไม่มีใครกล่าวถึงพวกเขาเลยสักบท ส่วนใครอยากเห็นตัวอักษรชัดๆ ก็คลิปเว็บด้านบนได้เลย
 
อันดับที่ 5 : The Beale Ciphers



เป็น ข้อความรหัสสามชุด ว่ากันว่ามันเป็นลายแทงสมบัติในการนำไปสู่ขุมสมบัติเงินทองและอัญมณีกว่า 40,000,000 ดอลลาร์ โดยสองชุดที่ว่าสามารถแปลได้คร่าวๆ ว่า เนื้อหาได้อธิบายถึงเนื้อหาสมบัติและรายชื่อของสมบัติของเจ้าของคือโทมัส เจฟเฟอร์สัน บีส( Thomas Jefferson Beale)ที่ซ่อนมันไว้ในสถานที่ลับในเบดฟอร์ด เวอรจีเนียเมื่อปี 1820 ก่อนที่เขาจะมอบรหัสลับนี้แก่เจ้าของโรงแรมท้องถิ่นชื่อโรเบิร์ต(Robert Morriss)เขา บอกว่าให้เปิดรหัสนี้หากเขาไม่กลับมา และขาก็หายสาบสูญไม่มีใครพบเห็นเขาอีกเลย เจ้าของโรงแรมได้เปิดรหัสนี้ก็พบว่ามันเป็นรหัสตัวเลขแปลก ๆ เรียงกันโดย มีเลขหลักหนึ่ง หลักสิบ หลักร้อย เรียงเหมือนสลับกันเหมือนรหัสลับอะไรสักอย่าง เจ้าของโรงแรมพยายามไขปริศนานี้แต่ล้มเหลวเขาเลยได้ให้สามรหัสส่งต่อแก่ เพื่อนของเขาก่อนตาย และเพื่อนคนนั้นได้ใช้เวลาทั้งชีวิตในการพยายามถอดรหัสข้อความดังกล่าวนี้ จนสามารถแก้ปัญหาได้ส่วนหนึ่งคือบอกเนื้อหาและรายการสมบัติโดยวิธีไขโค รตง่าย(เขาบอกว่างั้น)โดยการใช้คำในประกาศอิสรภาพของอเมริกาเทียบตำแหน่งใน รหัสเท่านั้น หากแต่ส่วนสำคัญคือสถานที่ซ่อนจนบัดนี้ไม่สามารถไขได้ ต่อมารหัสนี้ถูกลงในหนังสือพิมพ์และแจกแผ่นพับเพื่อให้คนทั่วอเมริกามาช่วย กันไขรหัสนี้แต่จนบัดนี้ก็ไม่สามารถไขได้ ดังนั้นจึงมีคนมาสันนิษฐานว่ามันเป็นของปลอมแต่กระนั้นก็ไม่มีหลักฐานใด พิสูจน์เรื่องนี้ (สามารถดูรหัสสามชุดนี้ได้ในเว็บด้านบน)
 
อันดับที่ 4 : Kryptos
 



Artist Jim Sanborn's เป็นประติมากรรมที่ไม่ใช้เอกสาร หากแต่ทำมาจากหิน ไม้ และทองแดง ตัวตั้งอยู่ที่มุมตะวันตกเฉียงใต้ของศูนย์บัญชาการใหม่ของ CIA สลักไว้ด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษ 26 ตัวบวกเครื่องหมายคำถาม ตัวอักษรเหล่านั้นรวมกันทั้งหมดมีถึง 869 คำว่า คริปโตสเป็นภาษากรีก แปลว่า ซ่อนอยู่ ซึ่งแน่นอนว่า ตัวอักษรทั้ง 869 ตัวนั้นก็คือรหัสลับนั่นเอง เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่า วันหนึ่ง CIA เกิดอยากได้ประติมากรรมเจ๋งๆไว้ประดับหน่วยงานของตน จึงได้ขอให้ประติมากรคนหนึ่งที่มีชื่อว่า James Sanbornทำขึ้นมาให้ ทีนี้นาย Sanborn ก็เลยไปเรียนรู้วิชารหัสลับจาก Ed Scheidt ซึ่งเป็นถึงอดีตประธานหน่วยถอดรหัสของ CIA จนนำเทคนิคเหล่านั้นมาสร้างเป็นรหัสลับในประติมากรรมของเขานั่นเองครับ ปัจจุบันเจ้าประติมากรรมชิ้นนี้เป็นที่สนใจของคนที่หลงใหลในการถอดรหัสไป ทั่วโลก ซึ่งรหัสลับใน Kryptos นั้นถูกไขออกได้เพียงแค่สามในสี่ส่วนเท่านั้นในปี 1999 คนแรกที่ออกมาพูดอย่างเปิดเผยก็คือ นาย James Gillogly นัก วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ นายคนนี้เขาใช้เทคนิคในการถอดรหัสกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เขียนขึ้นเองช่วย ในการไขความลับของรหัสออกมาได้ถึงสามส่วน หลังจากนั้น CIA ก็ออกมาอ้างว่าไขรหัสได้แล้วสามส่วนเหมือนกันตั้งแต่ปี 98 ส่วน NSA ก็ออกมาบอกว่าไขได้แล้วตั้งแต่ปี 92 แต่สุดท้ายก็ยังไม่มีใครสามารถถอดรหัสส่วนสุดท้าย 97-98 ตัวออกมาได้อยู่ดี และคุณสามารถดูรายละเอียดที่ว่าได้ที่ลิงค์ข้างบน
 
 อันดับที่ 3 : The Urantia Book
 


เป็น หนังสือปรัชญา และจิตวิญญาณที่ไม่มีชื่อผู้เขียน โดยเนื้อหากล่าวถึง พระเจ้า พระเยซู จักรวาล วิทยาศาสตร์ ประวัติ และโชคชะตา ที่เผยแพร่ในชิคาโก อิลลินอยด์ ประเทศสหรัฐอเมริการะหว่าง 1925-1955 มีการถกเถียงมากในเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้(มีการแปลเป็นภาษาอื่นๆ กว่า 11 ภาษา) โดยคำนำของหนังสือได้แนะนำดาวเคราะห์หนึ่งชื่อโลก(โดยใช้ชื่อดาวว่า Urantia) และนำเสนอแนวคิดในการฝึกพลังจิตวิญญาณขั้นสูง ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับพระเจ้า ไปจนถึงบอกอนาคตโลก หนังสือเล่มนี้ยาวถึง 2,097หน้า หนังสือไม่ระบุผู้เขียนหากแต่หนังสือบอกว่าเครดิตทั้งหมดมาจากคำสั่งของฟ้า สาเหตุเนื่องมาจากในปี 1925 นายวิลเลี่ยม แซดเลอร์ (William Sadler) ได้ นิมิต(หรือหลับลึก)อ้างว่าเขาติดต่อกับพระเจ้าได้ เขาเปร่งเสียงพูดที่มีความยาวและเขาได้ให้นักชวเลขจดคำพูดของเขาไว้ ซึ่งคำพูดของเหล่านั้นได้แพทย์ตกตะลึงให้กับทางการแพทย์เพราะว่าแต่ละคำนั้น เหนือธรรมชาติมากๆ ก็ว่าได้ ว่ากันว่าหนังสือเล่มนี้ใช้ศัพท์ซับซ้อนและมีรายละเอียดมาก นักวิชาการทางศาสนาพยายามแปลหนังสือและสัญลักษณ์ทางศาสนาแต่สุดท้ายก็ยังคง เป็นปริศนาต่อไป
 
อันดับที่ 2 : The Gnostic Gospels
 


บันทึก ของคัมภีร์นอสติก (Gnostic gospels) เป็นหนังสือที่เก็บความรู้หรือคำสอนของพระเยซูที่เขียนขึ้นเมื่อ 2nd –4th หากแต่หนังสือ(gospels แบบว่าพระวรสาร)นี้ไม่ได้ถูกรับเลือกเป็นพระคัมภีร์ ไม่ได้รับการยอมรับหรือบันทึกไว้อย่างเป็นทางการ กอสเปล(และอีกหลายเล่ม)นี้ถูกเรียกว่าเป็น ‘งานเขียนที่ผิดพลาด’ (pseudepigrapha) บ้าง หรือเรียกว่า ‘สิ่งที่ถูกซ่อนเอาไว้’ และ ถูกหาว่าเป็นหนังสือนอกรีตจนถูกทำลายไปจนหายไปหลายศตวรรษ ก่อนที่ถูกค้นพบเมื่อปี 1945(สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุด) โดยเกษตรกรในประเทศอียิปต์ หากมันไม่เหมือนหนังสือในอันดับอื่นๆ เพราะนักวิชาการทั่วๆไปเข้าใจในเรื่อง Gospels และ ได้แปลเป็นที่เรียบร้อยในหลายแบบ ยกเว้นแต่สิ่งที่ค้นพบนั้นจะมีเนื้อหาทีลึกลับซุกซ่อนอยู่ บางที่มันอาจซุกซ่อนหลักคำสอนของพระเยซูที่ไม่เคยปรากฏในพระคัมภีร์ใหม่ หรือความลับที่สั่นคลอนต่อศาสนา
 
อันดับที่ 1 : Voynich manuscript
 


Voynich manuscript เป็น หนังสือ ที่ลึกลับที่สุดในโลกเนื่องจากทุกข้อความในหนังสือล้วนพิศวงและแปลกประหลาด ภาษาที่ใช้ก็ไม่สามารถไขได้ว่ามันต้องอ่านด้วยวิธีอะไร โดยหนังสือเล่มนี้พบในห้องสมุดโรมันคาธอบิคนิกายหนึ่งในปี 1800 ไม่ระบุผู้เขียนหรือปีที่ผลิต แต่คาดว่าน่าจะเขียนเมื่อศตวรรษที่ 15 เขียนด้วย ปากกาขนนก มีขนาด 6 x 9 นิ้ว หนา 11/2นิ้ว มีอยู่ 240 หน้า แต่บางหน้าขาดหายไป ปกสมุดทำจากหนังลูกวัวสีครีม Voynich manuscript เป็น หนังสือที่ยังคงมีเสน่ห์ในต่อนักภาษาศาสตร์คนคนชอบเรื่องลึกลับในการไข ปริศนา โดยภายในหนังสือนี้เต็มไปด้วยรหัสปริศนามากมายที่เขียนด้วยภาษาที่ไม่พบเห็น มาก่อนบนโลกใบนี้ ดังนั้นสิ่งที่อธิบายว่าหนังสือนี้เป็นหนังสืออะไรก็คือภาพวาดประกอบเท่า นั้น หากแต่กับกลายเป็นความดำมืดยิ่งขึ้น เมื่อภาพวาดประกอบ มีทั้ง พืชพันธุ์แปลก ๆ ภาพผู้หญิงเปลือยเชื่อมด้วยท่อที่ดูคล้ายเส้นโลหิต มีภาพคล้ายแผนผังเกี่ยวกับดาราศาสตร์ ภาพแผนภูมิจักรราศี มีภาพผู้หญิงเปลือยถือดวงดาวล้อมรอบจักรราศีอยู่ บางหน้าก็สามารถคลี่ออกมาได้อีกเป็น 6 หน้า มี ภาพวาดหน้าผังดาราศาสตร์ ภาพคล้าย กาแลคซี่ แอนโดรมีดา ที่มองจากกล้องเทเลสโคป ภาพที่มองจากกล้องโทรทัศน์ และภาพคล้ายเซลล์ สิ่งมีชีวิตที่มองผ่านกล้องจุลทรรศน์ ซึ่งสมัยก่อนไม่น่าจะมีกล้องโทรทัศน์หรือกล้องเทเลสโคปได้เลย ทำให้มีหลายคนสันนิษฐานว่าหนังสือเล่มนี้เป้นของปลอม แต่กระนั้นด้วยความซับซ้อนของไวยากรณ์เกินกว่าที่จะได้รับการปลอม และเร็วๆ นี้มีการพิสูจน์แล้วว่าหนังสือเล่มนี้เป็นของจริงแต่สุดท้ายวัตถุประสงค์ของ หนังสือเล่มนี้ยังคงลึกลับอยู่ดี ปัจจุบันหนังสือลึกลับนี้เก็บไว้ในถูกเก็บรักษาอยู่ที่ห้องสมุดเบนเนคเก้ (Beinecke Rare Bood & Manuscript Library)
 
 
เครดิต www.animemangagame.com